อาญา มาตรา ๓๔๑
หมวด 3 ความผิดฐานฉ้อโกง
มาตรา 341 ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่น ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม ทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐาน ฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
- เจตนาหลอกลวง กับเจตนาที่จะได้ทรัพย์สินจากการหลอกลวง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1357/2533 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกู้ยืมเงินโจทก์ ด้วยวิธีโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินของจำเลยที่ 2 เป็นหลักประกัน โดยตกลงกันว่าจำเลยทั้งสองจะต้องไถ่ถอนคืนภายในกำหนด 2 ปี ต่อมาจำเลยที่ 1 อ้างว่าจำเลยที่ 2 ให้นำเงินมาชำระหนี้ และยินยอมให้โจทก์โอนที่ดินดังกล่าวใส่ชื่อจำเลยที่ 1 โจทก์หลงเชื่อจึงโอนที่ดินใส่ชื่อจำเลยที่ 1 แล้วโจทก์ถูกจำเลยที่ 2 ฟ้องเป็นคดีแพ่งข้อหาผิดสัญญาเรียกค่าเสียหาย ดังนี้การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองว่ากระทำความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 เป็นคดีนี้ ความเสียหายที่โจทก์ได้รับ จะต้องเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการถูกหลอกลวงนั้นโดยตรง แม้โจทก์จะได้รับความเสียหายจากการถูกจำเลยที่ 2 ฟ้อง ก็เป็นการกระทำอีกส่วนหนึ่งต่างหาก มิใช่การกระทำในคดีนี้ ความเสียหายดังกล่าว มิใช่ความเสียหายโดยตรงในคดีนี้ โจทก์จึงมิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสอง
- “หลอกลวง ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ”
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1014/2505 โจทก์จะให้จำเลยกู้เงินถ้ามีหลักฐานมาประกัน จำเลยจึงพูดอวดอ้าง ว่าจำเลยมีบัญชีเงินฝากที่ธนาคารเกษตรจำกัด แล้วควักเอาเช็คออกมาเซ็นชื่อให้ โจทก์หลงเชื่อจำเลย ในการอวดอ้างแสดงข้อความเท็จนี้ จึงจ่ายเงินให้จำเลยกู้ยืมไป เป็นความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1619/2508 การที่จำเลยร่วมกันแสดงข้อความ อันเป็นเท็จเป็นเหตุให้ได้เงินยืมของทางราชการไป อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาโดยครบถ้วนแล้ว การที่จำเลยทำสัญญายืมเงินให้กรมตำรวจไว้ตามระเบียบ ตลอดจนเมื่อเรื่องปรากฏความจริงขึ้น และจำเลยมิได้ส่งใช้เงินคืนกรมตำรวจ กรมตำรวจจึงได้หักเงินเดือนจำเลยใช้เงินยืม ก็เป็นเรื่องภายหลัง กรมตำรวจจึงถือปฏิบัติไปตามสัญญายืม อันเป็นความรับผิดที่จำเลยมีอยู่ในทางแพ่งควบคู่กับความรับผิดทางอาญา หาทำให้การที่จำเลยร่วมกระทำผิดทางอาญา กลับไม่เป็นความผิดไปอีกไม่
- คำพิพากษาฎีกาที่ 226,227/2521 จำเลยปลอมลายมือชื่อผู้อื่นเบิกเงินจากธนาคารเปลี่ยนเงินเป็นแคชเชียร์เช็ค แล้วปลอมลายมือชื่อสลักหลังเช็คเข้าบัญชีของจำเลย ดังนี้ เป็นฉ้อโกงไม่ใช่ลักทรัพย์
- คำพิพากษาฎีกาที่ 3593/2529 จำเลยขนส่งกระสุนปืน โดยเรือจุสแลนเดีย โดยมิได้ชำระค่าระวางต้นทางให้แก่เรือดังกล่าว กลับนำใบตราส่งของเรือจัคดุทมีข้อความว่าได้ชำระค่าระวางล่วงหน้าต้นทางแล้ว มาแสดงเพื่อขอรับเงินค่าจ้าง 660,000 บาทไป และมิได้นำไปชำระให้แก่เรือจุสแลนเดีย ทำให้ผู้รับปลายทางต้องเป็นผู้ชำระค่าระวาง และคิดหักค่าระวางกับบริษัท ท. เป็นเงิน 18,000 เหรียญสหรัฐ เป็นผลทำให้บริษัท บ. ต้องชดใช้เงิน 435,261.44 แก่บริษัท ท. เท่ากับบริษัท บ.ต้องจ่ายค่าระวางเรือด้วยตนเอง ยังต้องจ่ายเงินให้แก่จำเลยอีก 660,000 บาท การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด ฐานฉ้อโกง หาใช่เป็นเรื่องความรับผิดทางแพ่งไม่
- คำพิพากษาฎีกาที่ 5662/2530 จำเลยเบิกความในคดีที่บิดาจำเลยร้องขัดทรัพย์ ว่าจำเลยทราบอยู่แล้วว่า บ้านที่โจทก์นำยึดเป็นของบิดาจำเลย แสดงว่าจำเลยรู้มาแต่แรกแล้วว่าบ้านไม่ใช่ของจำเลย การที่จำเลยนำบ้านดังกล่าวประกันเงินกู้โจทก์ โดยระบุในสัญญากู้ว่าเป็นบ้านของจำเลย จึงเป็นการหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ทั้งนี้เพื่อต้องการให้โจทก์ยอมให้จำเลยกู้เงิน และส่งมอบเงินที่กู้ให้การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1508/2538 จำเลยปลอมตั๋วเครื่องบินแล้วได้มอบให้แก่ผู้มีชื่อในตั๋ว หรือมอบให้แก่ผู้อื่น ซึ่งจะนำไปมอบให้แก่ผู้มีชื่อในตั๋ว จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าผู้มีชื่อในตั๋วต้องนำตั๋วไปใช้ในการเดินทาง และเมื่อตั๋วเครื่องบินปลอมได้ถูกนำไปใช้ในการเดินทางแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นตัวการใช้ตั๋วเครื่องบินปลอม และการที่จำเลยปลอมตั๋วเครื่องบิน ด้วยมีเจตนาที่จะให้ผู้มีชื่อในตั๋วได้เดินทาง โดยจำเลยหรือผู้มีชื่อในตั๋วไม่ต้องจ่ายเงินค่าตั๋ว แสดงว่าจำเลยมีเจตนาโดยทุจริตหลอกลวงเจ้าของสายการบินว่าจำเลย หรือผู้มีชื่อในตั๋วได้ชำระค่าตั๋วเครื่องบินแล้ว อันเป็นความเท็จ ทำให้ผู้มีชื่อในตั๋วมีสิทธิเดินทางได้โดยไม่ต้องชำระเงิน ถือว่าจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงเจ้าของสายการบิน
- คำพิพากษาฎีกาที่ 671/2539 จำเลยอาสานำบัตรบริการเงินด่วนของผู้เสียหาย ไปตรวจสอบยอดเงินในบัญชีเงินฝาก แต่กลับนำบัตรไปเบิกถอนเงินจากตู้ เอ.ที.เอ็ม. ของธนาคารไป ถือว่าจำเลยหลอกเอาบัตรบริการเงินด่วนของผู้เสียหายไป เพื่อเบิกถอนเงิน เงินที่เบิกถอนนั้นเป็นของผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงเงินของผู้เสียหาย
- คำพิพากษาฎีกาที่ 706/2539 จำเลยที่ 2 กับพวก คงมีแต่สำเนา นส. 3 ก ที่ถ่ายมาจากที่ทางราชการเก็บรักษาไว้เท่านั้น โดยยังมิได้มิได้มีการรวบรวมซื้อที่ดินจากชาวบ้านเพื่อนำมาขายให้โจทก์ร่วม ดังนั้น แม้ตามสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจะระบุข้อความในอนาคต ว่าจำเลยกับพวกจะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ชื้อขายภายใน 1 ถึง 3 เดือน นับแต่โจทก์ร่วมชำระมัดจำครบ แต่ตามข้อความในเอกสารดังกล่าวมีความว่า ขณะทำสัญญาจำเลยกับพวกมีสิทธิในที่ดินที่จะนำมาขายให้โจทก์ร่วม เป็นการแสดงข้อความในปัจจุบันอยู่ด้วย เมื่อข้อความดังกล่าวเป็นเท็จ โดยความจริงจำเลยกับพวกมิได้ตั้งใจจะขายสิทธิในที่ดินให้โจทก์ร่วม โจทก์ร่วมหลงเชื่อจำเลยกับพวกในการแสดงข้อความเท็จและจ่ายเงินมัดจำให้ไปการกระทำของจำเลยกับพวก จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม มาตรา 341
- คำพิพากษาฎีกาที่ 5255/2540 (สบฎ เน 38) สัญญากู้ที่จำเลยทำให้ไว้แก่โจทก์ร่วมนั้น จำเลยทำในนามของ ป. ซึ่งไม่มีตัวจริงทั้งเช็คที่จำเลยนำมาแลก จำเลยยืมของบุคคลอื่นมาเป็นเช็คที่ปิดบัญชีแล้ว ลายมือชื่อที่จำเลยลงในเช็คก็ใช้ภาษีจีน ไม่เป็นไปตามตัวอย่างที่ให้ไว้กับธนาคารเช็คที่ใช้แลกเงินจากโจทก์ร่วมไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ การหลอกลวงเอาเงินจากโจทก์ร่วมโดยทำหลักฐานการกู้หรือมอบเช็คให้โจทก์ร่วมดังกล่าว ก็เป็นการหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินนั่นเอง จำเลยมิได้มีเจตนาจะผูกพันตามสัญญากู้ หรือเช็คที่นำไปแลกแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยครบองค์ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 341 แล้ว
- คำพิพากษาฎีกาที่ 3351/2542 จำเลยส่งไข่ผงที่เสื่อมคุณภาพแล้วให้โจทก์ร่วม โดยหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ว่าไข่ผงดังกล่าว เป็นนมผงตามที่โจทก์ร่วมสั่งซื้อ เพื่อหวังจะได้เงินจากโจทก์ร่วม อันเป็นการกระทำโดยเจตนาทุจริต เพียงแต่โจทก์ร่วมยังไม่ได้ชำระเงินให้จำเลย การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดฐานพยายามฉ้อโกง ไม่เป็นความผิดฐานขายของโดยหลอกลวงตาม ป.อ. มาตรา 271
- คำพิพากษาฎีกาที่ ป 6892/2542 (สบฎ สต 96) การกระทำที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยพลการ โดยทุจริต มิใช่ได้ทรัพย์ไป เพราะผู้อื่นยินยอมมอบให้เนื่องจากลูกหลอกลวง (จำเลยเปลี่ยนป้ายราคาสินค้า เอาป้ายราคาต่ำ มาติดไว้ที่สินค้าราคาแพ่ง เพื่อชำระค่าสินค้าน้อยลง ผิดฐานฉ้อโกง)
- คำพิพากษาฎีกาที่ 3667/2542 (สบฎ สต 110) จำเลยทั้งสองร่วมกันนำ ธ. มาสมัครเป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์โจทก์ร่วม โดยแจ้งแก่โจทก์ร่วมว่า ธ. คือ บ. บิดาจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสุขภาพแข็งแรง เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อจึงรับ บ. เป็นสมาชิก ความจริงแล้วขณะนั้น บ. ป่วยเป็นโรคมะเร็งในลำไส้ ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ การหลอกลวงมีผลเพียงให้โจทก์ร่วมกับ บ. เข้าเป็นสมาชิกเท่านั้น หาได้ทำให้จำเลยทั้งสองได้ทรัพย์สินไปจากโจทก์ร่วมไม่ แม้ต่อมาโจทก์ร่วมจะจ่ายเงินสงเคราะห์ให้จำเลยที่ 1 ไปจำนวน 92,000 บาท แต่ก็เนื่องจาก บ. ถึงแก่กรรม จำเลยทั้งสองไม่ผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 471/2543 ตอนจำเลยนำสร้อยข้อมือของกลางมาขายฝากผู้เสียหาย จำเลยบอกว่าเป็นสร้อยข้อมือที่จำเลยสั่งทำเอง โดยมีน้ำหนักมากกว่าปกติ เพราะอาจมีการชุบเคลือบหนาไว้แสดงว่าสร้อยข้อมือดังกล่าว อยู่ในความครอบครองของจำเลยมาโดยตลอด ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยจะไม่รู้ว่าสร้อยข้อมือนั้นเป็นทองคำปลอม และจำเลยพูดจาหว่านล้อมหลอกลวง จนผู้เสียหายหลงเชื่อได้เป็นผลสำเร็จ ต่อมาเมื่อปรากฏว่าสร้อยข้อมือของกลางเป็นทองคำปลอม จำเลยกลับต่อสู้ว่าสร้อยข้อมือเป็นของภริยาจำเลย และจำเลยไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นทองคำปลอม จึงเชื่อไม่ได้ ส่วนการที่จำเลยใช้ชื่อตัวและชื่อสกุลตามความเป็นจริง ในใบสัญญาขายฝาก หรือยอมให้ตรวจสอบสร้อยข้อมือในชั้นขายขาดโดยวิธีลนไฟนั้น เป็นเรื่องตามปกติวิสัยของผู้ที่มีเจตนาทุจริตที่ยอมกระทำทุกสิ่งทุกอย่างเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง โดยไม่คำนึงถึงผลร้ายอันจะเกิดขึ้นในภายหลังว่าจะเป็นประการใด
- คำพิพากษาฎีกาที่ 6863/2543 การกระทำของจำเลยที่กล่าวอ้างต่อผู้เสียหายว่าจะติดต่อให้ผู้เสียหายไถ่รถยนต์กระบะคืนจากคนร้าย และเรียกร้องเงินโดยอ้างเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจำนวน 3,500 บาท กับอ้างว่าคนร้ายต้องการค่าไถ่จำนวน 50,000 บาท แต่ไม่เกิดผลตามที่จำเลยอ้าง แม้เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยและให้จำเลยนำไปบ้านของผู้มีชื่อ ที่อ้างว่าเป็นที่ซ่อนรถยนต์กระบะก็ไม่พบ ยังไม่เพียงพอให้รับฟังได้ว่าเป็นการจำหน่ายรถยนต์กระบะของผู้เสียหายซึ่งถูกคนร้ายลักไป อันจะทำให้จำเลยต้องมีความผิดฐานรับของโจร แต่พยานหลักฐานดังกล่าว รับฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หลอกลวงผู้เสียหาย เมื่อให้เงินแก่จำเลยและได้รับไปแล้วจำนวน 3,500 บาท การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
- “หลอกลวง ด้วยการปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง”
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1667/2506 การที่จำเลยนำรถยนต์ของจำเลย ซึ่งศาลได้มีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้โอนขาย หรือจำหน่ายในคดีหนึ่งอยู่แล้ว ไปทำสัญญาซื้อขายกับโจทก์ โดยรับรองกับโจทก์ว่า รถยนต์ดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยผู้เดียว ไม่เคยนำไปขายหรือจำนำหรือทำสัญญาใดผูกพันรถยนต์ดังกล่าวเลย แล้วจำเลยไม่ส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวให้โจทก์นั้น ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1501/2516 จำเลยที่ 1 พ้นตำแหน่งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดโจทก์ไปแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็ยังมีชื่อเป็นผู้มีอำนาจถอนเงินของวัดโจทก์จากธนาคารอยู่ จำเลยทั้งสองรวมกันถอนเงินของโจทก์ โดยมิได้แจ้งให้ธนาคารทราบว่าจำเลยที่ 1 พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวแล้ว ก็ยังไม่เป็นการหลอกลวงเจ้าหน้าที่ของธนาคาร เพราะเมื่ออำนาจการถอนเงิน ซึ่งจำเลยมีมาแต่เดิมยังไม่ถูกเพิกถอน การที่จำเลยไปถอนเงินจึงเป็นการถอนเงินตามที่วัดโจทก์ตกลงไว้กับธนาคาร ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
- กรณีไม่มีหน้าที่ต้องบอกข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง แก่ฝ่ายตรงข้าม
- คำพิพากษาฎีกาที่ 151-152/2537 ในขณะที่โจทก์กับจำเลยทั้งสองทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันจำเลยทั้งสองไม่ทราบว่าที่ดินจะถูกเวนคืน เพียงแต่จำเลยทั้งสองพูดรับรองว่าที่ดินไม่มีภาระผูกพันใด ๆ เท่านั้น ทั้งโจทก์ในฐานะผู้จะซื้อที่ดินจากจำเลยทั้งสองก็มีหน้าที่ต้องระวังอยู่แล้ว การเวนคืนถึงหากจะมี ก็ยังไม่เป็นการแน่นอน ในขณะทำสัญญาจะซื้อจะขาย พฤติการณ์แห่งคดีจำเลยทั้งสองไม่อาจทราบได้ว่าจะมีการเวนคืนหรือไม่ มากน้อยเพียงใด ถือว่าจำเลยทั้งสองมิได้ปกปิดข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับที่ดิน ซึ่งตกอยู่ในเขตที่ดินที่ต้องถูกทางราช การเวนคืนโดยทุจริตแต่อย่างใด จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง
- ทรัพย์สิน
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1508/2538 ตั๋วเครื่องบินที่มีมูลค่าหรือราคาใช้ ตามที่ปรากฏในตั๋ว เป็นตั๋วที่ผู้มีชื่อในตั๋วมีสิทธิที่จะใช้โดยสารเครื่องบินของสายการบินที่ปรากฏในตั๋ว จึงเป็นเอกสารสิทธิเพราะเป็นหลักฐานแห่งการก่อซึ่งสิทธิตาม ป.อ. มาตรา 1 (9) / จำเลยปลอมตั๋วเครื่องบินแล้วได้มอบให้แก่ผู้มีชื่อในตั๋ว หรือมอบให้แก่ผู้อื่น ซึ่งจะนำไปมอบให้แก่ผู้มีชื่อในตั๋ว จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าผู้มีชื่อในตั๋วต้องนำตั๋วไปใช้ในการเดินทาง และเมื่อตั๋วเครื่องบินปลอมได้ถูกนำไปใช้ในการเดินทางแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นตัวการใช้ตั๋วเครื่องบินปลอม และการที่จำเลยปลอมตั๋วเครื่องบิน ด้วยมีเจตนาที่จะให้ผู้มีชื่อในตั๋วได้เดินทาง โดยจำเลยหรือผู้มีชื่อในตั๋วไม่ต้องจ่ายเงินค่าตั๋ว แสดงว่าจำเลยมีเจตนาโดยทุจริตหลอกลวงเจ้าของสายการบินว่าจำเลย หรือผู้มีชื่อในตั๋วได้ชำระค่าตั๋วเครื่องบินแล้วอันเป็นความเท็จ ทำให้ผู้มีชื่อในตั๋วมีสิทธิเดินทางได้โดยไม่ต้องชำระเงิน ถือว่าจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงเจ้าของสายการบิน
- การหลอกลวง โดยอ้างความเชื่อในด้านศาสนา หรือไสยศาสตร์
- คำพิพากษาฎีกาที่ 557/2502 จำเลยหลอกลวงว่าน้ำที่พุขึ้นนั้น เจ้าแม่สำโรงบันดาลให้มีขึ้นและอ้างว่าน้ำพุนั้นศักดิ์สิทธิ์ ใช้เป็นยารักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ ประชาชนคนดูหลงเชื่อ ได้เอาน้ำนั้นไปใช้กินและทารักษาโรค แต่ไม่หายเพราะเป็นน้ำธรรมดาในลำคลองนั้นเอง และได้ให้เงินแก่จำเลย โดยหลงเชื่อว่าน้ำนั้น เป็นของศักดิ์สิทธิ์รักษาโรคได้ แต่ความจริงนั้น จำเลยที่ 1 เอาเท้าพุ้ยน้ำในคลองทำให้น้ำพุผุดขึ้นมาเอง ไม่เกี่ยวแก่เจ้าแม่อะไรเลย จำเลยที่ 2 ผู้เป็นบิดาได้ร่วมกระทำผิดด้วยโดยอ้างว่าน้ำพุนั้น เจ้าแม่บันดาลให้เกิดขึ้นเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ รักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ ซึ่งเป็นการปกปิดความจริงและแสดงข้อความเท็จ ถือว่าสมคบกันฉ้อโกงตาม มาตรา 343
- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 219/2531 จำเลยไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ แต่ได้ขายน้ำมันพรายให้กับผู้เสียหายในราคา 300 บาท อ้างว่าจะช่วยให้ค้าขายดี นอกจากนี้จำเลยยังคอยบอกผู้เสียหายว่าทำผิดผี ต้องทำพิธีไหว้อาจารย์ จนผู้เสียหายยอมมอบเงินและทรัพย์สินอื่นรวมหลายหมื่นบาทให้จำเลยไป เพื่อทำพิธีดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นเท็จ จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 3074/2539 ความผิดฐานฉ้อโกง ผู้กระทำความผิดต้องกระทำโดยการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังกล่าวนั้น ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม การที่จำเลยชวนโจทก์ร่วมซื้อคอนโดมิเนียม ตึกแถว และที่ดิน โดยยืนยันว่าอีก 4 เดือนจะมีผู้ซื้อต่อ การที่จำเลยให้ผู้เสียหายทำพิธีเสริมดวงและเรียกค่าครู โดยยืนยันว่าจะทำให้ดวงดี ขายตึกแถวที่ดินได้หรือบุตรจะมีบุญบารมีสูงกว่าบิดามารดา ผู้เสียหายกับสามีจะไม่ต้องหย่ากัน ล้วนเป็นคำยืนยันเหตุการณ์ในอนาคตที่ไม่แน่นอนทั้งสิ้น คำยืนยันดังกล่าวไม่ใช่คำหลอกลวง แต่เป็นคำคาดการณ์ที่โจทก์ร่วมและผู้เสียหายเข้าทำพิธีตามคำแนะนำและเสียค่าใช้จ่าย จึงมิได้เป็นผลจากการหลอกลวง การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
- การหลอกลวง ข้อเท็จจริงในอนาคต – ผิดคำมั่นสัญญา
- & ข้อหาฉ้อโกง บางส่วนคาบเกี่ยวกับคดีแพ่งมาก ๆ เช่นเรื่องที่กล่าวมานี้ ข้อแตกต่างประการสำคัญในประเด็นนี้ คือ ขณะทำสัญญานั้น ผู้ต้องหา มีเจตนาผูกนิติสัมพันธ์ตามที่แสดงออกหรือไม่ หากไม่มีเจตนาผูกนิตสัมพันธ์ แต่แสดงตัวมาเสนอซื้อ เสนอขาย ตรงนั้นเป็นเพียงกลอุบายในการหลอกลวง และถือเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จในปัจจุบัน ไม่ใช่การผิดสัญญา หรือผิดคำมั่น ข้อตกลง ในอนาคต ตรงนี้เป็นความผิดข้อหาฉ้อโกงได้ / ตัวอย่าง เมื่อระหว่างวันที่ ... เวลากลางวัน จนถึงวันที่ ...3 เวลากลางวัน ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งสาม โดยเจตนาทุจริต และโดยไม่มีเจตนาผูกนิติสัมพันธ์ตามสัญญาซื้อขายสินค้า ได้บังอาจร่วมกันหลอกลวง... ผู้เสียหาย ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ เสนอขายสินค้าประเภท... ให้แก่ผู้เสียหาย ในราคาต่ำกว่าราคาในท้องตลาด อันเป็นกลอุบายให้ผู้เสียหายส่งมอบเงินแก่จำเลยทั้งสาม โดยจำเลยทั้งสามไม่มีเจตนาที่จะส่งสินค้าให้แก่ผู้เสียหายครบถ้วนตามที่ตกลงไว้จริง และโดยการหลอกลวงเช่นว่านั้น ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ สั่งซื้อสินค้าและชำระเงินให้แก่จำเลยทั้งสาม เป็นเหตุให้จำเลยทั้งสามได้รับเงินจากผู้เสียหายไป เป็นเงินจำนวน ... บาท
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1187/2500 คำที่จำเลยกล่าวแก่ผู้เสียหายว่าฯ จำเลยร้อนเงิน ขอยืมเข็มขัดนากไปจำนำก่อน เพื่อเอาเงินไปใช้หนี้ รุ่งขึ้นจะไถ่คืนให้นั้น เป็นแต่จำเลยรับจะทำอะไรแล้วไม่ทำเท่านั้น ไม่เป็นการหลอกลวงอันจะเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1153/2511 จำเลยยืมเงินผู้เสียหาย โดยนำเช็คลงวันที่ล่วงหน้าของผู้อื่นมามอบไว้เพื่อชำระหนี้ และจำเลยได้สลักหลังเช็คนั้นด้วย แม้จำเลยจะบอกว่าผู้สั่งจ่ายเช็คมีฐานะดี สามารถใช้เงินตามเช็คได้ก็ตาม จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 707/2516 ขณะจำเลยพูดเอาเงินจากผู้เสียหาย จำเลยได้บอกผู้เสียหายว่าจะนำไปซื้อเบี้ยเลี้ยงตำรวจ และจะให้ผลประโยชน์แก่ผู้เสียหาย เป็นเรื่องที่จำเลยยืมเงินไปโดยให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินนั้น เพื่อกิจการของจำเลยเองในโอกาสข้างหน้า มิได้เอาความเท็จมากล่าวหรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงซึ่งมีอยู่แล้วในขณะนั้น แม้จำเลยไม่เอาเงินนั้นไปซื้อเบี้ยเลี้ยงตำรวจก็เป็นเรื่องผิดคำมั่นสัญญาเท่านั้น ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 269/2524 ฟ้องว่าจำเลยกล่าวเท็จหลอกลวงโจทก์และประชาชน ขายหนังสือที่จำเลยพิมพ์จำหน่าย เพื่อนำเงินไปช่วยซื้ออาวุธคุ้มครองหมู่บ้าน โจทก์หลงเชื่อซื้อหนังสือ 2 เล่ม 40 บาท จำเลยขายหนังสือได้ 200,000 บาท จำเลยนำเงินไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว ดังนี้เป็นแต่ไม่ทำตามที่รับจะทำ ไม่ใช่ฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1229/2536 ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยให้คำรับรองต่อโจทก์ต่อหน้าพนักงานสอบสวน ว่าจะชำระหนี้แทน ส. และขอให้โจทก์ถอนคำร้องทุกข์ เป็นคำมั่นสัญญาที่จำเลยจะปฏิบัติในอนาคต คำรับรองดังกล่าว จึงไม่ใช่ข้อความเท็จ เพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีความตั้งใจมาแต่แรกขณะให้คำรับรองว่าจะไม่ปฏิบัติตามนั้น ฟ้องโจทก์จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 6604/2540 การกระทำอันเป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งของความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 ก็คือ การหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งความบอกให้แจ้ง “และการกระทำดังกล่าวผู้กระทำจะต้องมีเจตนามาตั้งแต่ต้น ตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคหนึ่ง” ได้ความว่าโจทก์ร่วมซื้อที่ดินเนื้อที่ 500 ไร่ แล้วพาจำเลยไปดูที่ดินดังกล่าวเพื่อปรึกษาว่าจะพัฒนาที่ดินอย่างไร หลังจากนั้นจำเลยมาเสนอให้โจทก์ร่วมปลูกมันสำปะหลัง หรือทำการเกษตรแบบผสมซึ่งโจทก์ร่วมเห็นชอบด้วย จำเลยบอกว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายในการปรับพื้นที่ โจทก์ร่วมตกลงให้จำเลยดำเนินการ โดยจ่ายเงินให้จำเลยเป็นค่าใช้จ่าย หลังจากที่ได้จ่ายเงินครั้งที่สามแล้ว โจทก์ร่วมไปดูที่ดิน พบว่ามีการปรับพื้นที่ไปประมาณ 5 ถึง 6 ไร่ ซึ่งโจทก์ร่วมตรวจดูมิได้คัดค้านแต่ประการใด ตรงกันข้ามกับจ่ายค่าพัฒนาที่ดินให้จำเลยอีกถึง 85,000 บาทแสดงว่าโจทก์ร่วมพอใจในการพัฒนาที่ดินของจำเลย แม้ต่อมาจำเลยจะมิได้ดำเนินการพัฒนาที่ดินต่อไปอย่างเสร็จสิ้น ซึ่งจะต้องด้วยเหตุผลประการใดก็ตาม กรณีจึงยังฟังไม่ได้โดยแน่ชัดว่าจำเลยมีเจตนาหลอกลวงโจทก์ร่วมมาตั้งแต่ต้น
- คำพิพากษาฎีกาที่ 6845/2540 ความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 โจทก์จะต้องนำสืบให้ฟังได้แน่ชัดว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จฯ จำเลยมาขอเช่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของผู้เสียหายไปจำนองแก่บุคคลภายนอกผู้เสียหายตกลงให้เช่า และรับเงินค่าเช่าจากจำเลยแล้ว การที่ผู้เสียหายไปจดทะเบียนจำนองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ก็เพื่อจะเอาค่าเช่าจากจำเลย อันเป็นความสมัครใจในการให้เช่า ดังนั้น การที่จำเลยได้เงินจากผู้เสียหาย จึงเป็นไปตามข้อตกลง มิใช่เป็นการหลอกลวง ส่วนที่จำเลยไม่ไถ่ถอนจำนองให้ เมื่อครบกำหนดเวลาเช่า ก็เป็นเพียงการผิดสัญญา ซึ่งจะต้องไปว่ากล่าวกันในทางแพ่งต่อไป การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1674-1675/2543 การทำสัญญาจะซื้อจะขาย ผู้ขายไม่จำต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่จะขายในขณะทำสัญญา เพียงแต่จะต้องขวนขวายหาทรัพย์นั้นมาโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้จะซื้อได้ตามกำหนดในสัญญาเท่านั้น เมื่อผู้เสียหายทั้งสองทราบตั้งแต่เมื่อทำสัญญากับจำเลยที่ 1 ว่าที่ดินแปลงที่ทำสัญญายังเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลอื่น จำเลยทั้งสองจึงไม่ได้แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแต่อย่างใด เพราะที่ดินที่ผู้เสียหายทั้งสอง ทำสัญญาจะซื้อจะขายกับจำเลยที่ 1 มีอยู่จริง และจำเลยที่ 1 ก็เป็นผู้จะซื้อตามสัญญาจะซื้อจะขายที่จำเลยที่ 1 ทำไว้กับเจ้าของกรรมสิทธิ์จริง จึงเป็นเพียงการผิดสัญญาทางแพ่ง คือ ไม่ปฏิบัติตามสัญญาอันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลัง ซึ่งเป็นเวลาในอนาคตของเวลาที่ทำสัญญากันเท่านั้น
- การหลอกลวง อ้างทำนิติกรรม โดยไม่มีเจตนาผูกนิติสัมพันธ์จริง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 491/2499 การที่จำเลยไม่มีอาชีพในทางค้าเสา ไม่เคยขออนุญาตตัดฟันไม้ แต่รับจะจัดการตัดเสาอ้างว่ามีโควต้าทำไม้ ผู้เสียหายยอมให้เงิน 3,600 บาท ค่าลูกจ้างและค่าเข็นโดยจำเลยว่าเสาตามที่สั่งตัดไว้ครบแล้ว หลังจากนั้นอีกนานก็ไม่มีเสามา เมื่อถูกจับก็บอกตำรวจว่าหาเสาไม่ได้ แต่กลับปฏิเสธต่อผู้เสียหายว่า ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้รับเงิน พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมแสดงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตคิดฉ้อโกงทรัพย์ของผู้เสียหาย.
- คำพิพากษาฎีกาที่ 536-537/2503 จำเลยหลอกลวงให้ประชาชนหลงเชื่อ เพื่อมาสมัครรับการอบรมวิชาชีพ โดยทุกคนต้องส่งมอบเงินให้แก่จำเลยด้วย เมื่อมีผู้หลงเชื่อมาสมัคร จำเลยก็ให้ส่งมอบเงินแก่จำเลย แล้วจำเลยก็หาได้ทำการอบรมเป็นกิจจะลักษณะอย่างใดไม่ จนเป็นที่เห็นว่าผู้สมัครเหล่านั้นจะไม่ได้งานทำตามที่จำเลยโฆษณาไว้ ครั้นขอเงินคืน จำเลยก็ไม่มีเงินจะคืน ผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 587-588/2511 หลอกลวง โดยชักชวนผู้อื่นให้เสียค่าสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มการเกษตรกึ่งอุตสาหกรรม ซึ่งจะขออนุญาตตั้งขึ้นภายหน้าเพื่อจัดสรรที่ดินให้ เป็นเหตุให้หลงเชื่อและมอบเงินค่าสมัครให้ความจริงที่ดินที่อ้างว่าจะจัดสรรเป็นป่าสงวน และมิได้มีการขออนุญาตตั้งกลุ่มการเกษตรฯ นั้นย่อมเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1554/2511 ขอซื้อโคจากผู้เสียหาย เบี่ยงบ่ายขอชำระในวันรุ่งขึ้น และคืนนั้นจำเลยก็พาโคหนีไป ดังนี้ เห็นได้ว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้เสียหายโดยไม่มีเจตนาจะใช้ราคาโคมาแต่เริ่มต้น จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 340/2512 (สบฎ เน 2117) จำเลยประกาศรับสมัครบุคคลทำงาน เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อ โดยวางค่าจ้างเงินเดือนสูง วางระเบียบให้ต้องซื้อหุ้นอย่างน้อยหนึ่งหุ้น 900บาท บริษัทตั้งขึ้นแล้ว จำเลยก็ไม่ดำเนินการค้าอย่างใด สินค้าในบริษัทก็ไม่มี ธุรกิจที่จะมอบหมายให้ผู้สมัครปฏิบัติ ก็ไม่มี ถือว่าก่อตั้งบริษัทเพื่อหลอกลวงประชาชน ผิด ม 343
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2804- 2805/2517 จำเลยกู้เงินโจทก์ โดยนำที่ดินและบ้านของบุตรมาเป็นประกันบอกว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยโดยเป็นการประกันกันแบบชาวบ้าน ไม่ได้จดทะเบียนจำนอง กรณีเป็นการหลอกได้ทรัพย์ไปโดยทุจริต เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ตาม ป.อาญา มาตรา341
- คำพิพากษาฎีกาที่ 877/2537 การที่จำเลยกับพวกชักชวนผู้เสียหายทั้งสิบคน และบุคคลอื่นให้นำเงินมาลงทุนกับบริษัท เพื่อประกอบกิจการสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า เพื่อเก็งกำไร ทั้งๆ ที่จำเลยรู้อยู่ว่าบริษัท อ.ไม่มีวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการดังกล่าว และการประกอบกิจการตามที่อ้างจะมีขึ้นไม่ได้แน่นอน การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นการหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสิบคน และบุคคลทั่วๆ ไปไม่จำกัดว่าเป็นใคร อันเป็นการหลอกลวงประชาชน ทำให้ผู้เสียหายทั้งสิบคน หลงเชื่อมอบเงินให้แก่จำเลยกับพวกไป จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 343 วรรคแรกและการกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าวเป็นการกู้ยืมเงินตาม พ.ร.ก. การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มาตรา 3 มาตรา 4,12 แห่ง พ.ร.ก. ดังกล่าวอีกบทหนึ่ง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 706/2539 จำเลยที่ 2 กับพวก คงมีแต่สำเนา นส. 3 ก ที่ถ่ายมาจากที่ทางราชการเก็บรักษาไว้เท่านั้น โดยยังมิได้มิได้มีการรวบรวมซื้อที่ดินจากชาวบ้านเพื่อนำมาขายให้โจทก์ร่วม ดังนั้น แม้ตามสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทจะระบุข้อความในอนาคต ว่าจำเลยกับพวกจะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ชื้อขายภายใน 1 ถึง 3 เดือน นับแต่โจทก์ร่วมชำระมัดจำครบ แต่ตามข้อความในเอกสารดังกล่าวมีความว่า ขณะทำสัญญาจำเลยกับพวกมีสิทธิในที่ดินที่จะนำมาขายให้โจทก์ร่วม เป็นการแสดงข้อความในปัจจุบันอยู่ด้วย เมื่อข้อความดังกล่าวเป็นเท็จโดยความจริงจำเลยกับพวกมิได้ตั้งใจจะขายสิทธิในที่ดินให้โจทก์ร่วม โจทก์ร่วมหลงเชื่อจำเลยกับพวกในการแสดงข้อความเท็จและจ่ายเงินมัดจำให้ไปการกระทำของจำเลยกับพวก จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 / จำเลยที่ 1 รู้จักกับโจทก์ร่วมมาก่อน เป็นผู้ติดต่อพาโจทก์ร่วมไปดูที่ดินจนโจทก์ร่วมตกลงทำสัญญาวางมัดจำ และทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทประกอบกับขณะจะทำสัญญาซื้อขายจำเลยที่ 1 ไม่ยอมให้โจทก์ร่วมดูสัญญาซื้อขายที่ฝ่ายจำเลยทั้งสองอวดอ้างว่าได้ทำไว้กับชาวบ้านแล้ว แสดงว่าจำเลยทั้งสองกับพวก มีเจตนาทุจริตหลอกลวงขายที่ดินให้โจทก์ร่วม โดยแบ่งหน้าที่กันทำ จึงเป็นการร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้อง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 5255/2540 สัญญากู้ที่จำเลยทำให้ไว้แก่โจทก์ร่วมนั้น จำเลยทำในนามของ ป. ซึ่งไม่มีตัวจริง ทั้งเช็คที่จำเลยนำมาแลก จำเลยยืมของบุคคลอื่นมาเป็นเช็คที่ปิดบัญชีแล้ว ลายมือชื่อที่จำเลยลงในเช็คก็ใช้ภาษีจีน ไม่เป็นไปตามตัวอย่างที่ให้ไว้กับธนาคารเช็คที่ใช้แลกเงินจากโจทก์ร่วมไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้ การหลอกลวงเอาเงินจากโจทก์ร่วม โดยทำหลักฐานการกู้หรือมอบเช็คให้โจทก์ร่วมดังกล่าว ก็เป็นการหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินนั่นเอง จำเลยมิได้มีเจตนาจะผูกพันตามสัญญากู้ หรือเช็คที่นำไปแลกแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยครบองค์ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 341 แล้ว
- คำพิพากษาฎีกาที่ 633/2546 จำเลยทั้งสามกับ ย. ทำทีขอซื้อผ้าจากโจทก์ร่วม โดยหลอกให้โจทก์ร่วมขนผ้า ขึ้นรถแล้วบอกว่าจะชำระค่าผ้าก่อน 20,000 บาท ส่วนที่เหลือให้ตามไปเก็บจาก ย. เมื่อบุตรสาวของโจทก์ร่วมร้องไห้ภริยาของโจทก์ร่วมเข้าไปดูแลบุตรสาวภายในร้าน จำเลยทั้งสามกับ ย. ก็พากันนำรถบรรทุกผ้าออกไปจากร้านทันที จำเลยทั้งสามกับย. มีเจตนาทุจริตหลอกลวงให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อว่าจะซื้อผ้ามาแต่ต้น ด้วยการวางแผนการ เป็นขั้นตอนและไม่มีเจตนาจะใช้ราคาผ้าเลย จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 83 มิใช่ลักทรัพย์ดังที่โจทก์ฟ้อง แต่ข้อแตกต่าง ดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม มิให้ถือว่า ต่างกันในข้อสาระสำคัญ ทั้งจำเลยทั้งสามมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษฐานฉ้อโกง ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ตามมาตรา 192 วรรคสาม / โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2540 เวลากลางวันจำเลยทั้งสามกับพวกที่ยัง หลบหนีร่วมกันลักเอาผ้าสปันสำหรับตัดเย็บเสื้อผ้าจำนวน 84 ม้วน ราคารวม 119,430 บาท ของนายประเสริฐ ศักดิราชไพจิตร ผู้เสียหายไปโดยทุจริต โดยใช้รถยนต์ปิกอัพ เป็นยานพาหนะเพื่อความสะดวกในการกระทำผิด พาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 335, 83 และให้จำเลย ทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 118,430 บาท แก่ผู้เสียหาย / ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง / ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) วรรคแรก, 83 ให้จำคุกคนละ 4 ปี คำให้การของจำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา78 หนึ่งในสาม คงให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 2 ปี 8 เดือน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ราคาทรัพย์รวม118,430 บาท แก่ผู้เสียหาย / ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "... เห็นได้ว่าจำเลยทั้งสามกับนางยุพาร่วมกันมีเจตนาทุจริต หลอกลวงให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อว่าจำเลยทั้งสามกับนางยุพาจะซื้อผ้าจริงมาแต่ต้น ด้วยการวางแผนการณ์เป็นขั้นตอน และไม่มีเจตนาจะใช้ราคาผ้าให้แก่โจทก์ร่วมเลยและ โดยการหลอกลวงดังกล่าวนั้น จำเลยทั้งสามกับนางยุพาได้ผ้าไปจากโจทก์ร่วมผู้ถูกหลอกลวง การกระทำของจำเลยทั้งสามกับพวก จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 มิใช่ลักทรัพย์ดังที่โจทก์ฟ้อง แต่อย่างไรก็ตามข้อ แตกต่างดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ ทั้งจำเลยทั้งสามมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษจำเลย ทั้งสามฐานฉ้อโกงตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม" พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบด้วยมาตรา 83
- โดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สิน (การได้การยึดถือ ครอบครอง กรรมสิทธิ์)
- คำพิพากษาฎีกาที่ 901/2476 (ขส เน 2523/ 3) ผู้เสียหายส่งทรัพย์ให้จำเลย ทั้งที่รู้แล้วว่าถูกฉ้อโกง แต่ส่งทรัพย์ให้เพื่อเป็นหลักฐานในการจับกุม โดยนัดหมายกับตำรวจแล้ว จำเลยผิดฐานพยายามฉ้อโกง ม 341 ประกอบ ม 80
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1633/2499 เมื่อข้อเท็จจริงในท้องสำนวนปรากฏว่า ผู้เสียหายมอบเงินให้แก่ผู้แทนผู้เสียหายไปรับจำนองแทนผู้เสียหายเพราะเชื่อตามที่ผู้แทนบอกเช่นนี้ และศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าผู้เสียหายหลงเชื่อจำเลย ดังนี้เป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงไม่ตรงกับความจริง ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยเสียใหม่ให้ตรงความจริงได้ / เมื่อผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ร้องทุกข์ มิได้เสียหายเนื่องจากหลงเชื่อการกระทำของจำเลยแล้ว ก็ย่อมขาดองค์สำคัญแห่งความผิดฐานฉ้อโกง จะลงโทษจำเลยหาได้ไม่.
- คำพิพากษาฎีกาที่ 278-279/2501 หลอกว่า มีผู้ต้องการซื้อของ ขอรับของไปจำหน่ายแก่ผู้ที่ต้องการซื้อ เป็นความผิดฐานฉ้อโกง แต่ไม่ต้องด้วย ม.306 (4) รับมอบทรัพย์ไปเพราะใช้อุบายหลอกลวง ผิดฐานฉ้อโกง การจำหน่ายทรัพย์นั้นต่อไป ไม่เป็นความผิดฐานยักยอก
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1463/2503 จำเลยจะลักรถจักรยาน จึงทำอุบาย เมื่อเขาเผลอ ก็ลอบหยิบบัตรคู่หนึ่งของเจ้าของร้าน แล้วเอาบัตรนั้นใบหนึ่งไปแขวนไว้ที่รถจักรยาน เอาบัตรเลขเดิมออกเสีย แล้วเอาบัตรคู่กันอีกใบหนึ่งมาขอรับรถจักรยาน จำเลยกล่าวเท็จแสดงว่า เพื่อนให้เอาบัตรมารับรถเพราะเปลี่ยนกันขี่ ผิดฐานลักทรัพย์ โดยใช้กลอุบาย ไม่ใช่ฉ้อโกง (เจ้าของรถจักรยาน ยังอยู่ในบริเวณงานนั้น เพียงแต่มอบการยึดถือดูแลทรัพย์ให้แก่เจ้าของร้าน จำเลยหลอกเจ้าของร้าน ได้แต่เพียงการยึดถือ ไม่ใช่ได้สิทธิครอบครองไปจากเจ้าของร้านผู้ดูแลทรัพย์ จึงเป็นลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย ไม่ใช่ฉ้อโกง)
- คำพิพากษาฎีกาที่ 848/2507 การที่จำเลยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายและภริยานั้น มิใช่เพื่อให้ผู้เสียหายและภริยายอมส่งมอบโคให้จำเลย หากเป็นแต่เพียงอุบายในการที่ จำเลยจะพาโคไปได้แนบเนียนขึ้นเท่านั้น การที่จำเลยเอาโคไป หาใช่ผลโดยตรงจากการหลอกลวงไม่ จำเลยจึงมีผิดฐานลักทรัพย์ หาผิดฐานฉ้อโกงไม่
- คำพิพากษาฎีกาที่ 554/2509 จำเลยกับสิบตำรวจโทสำเนียง และสิบตำรวจเอกเหม กลับจากงานบวช ถึงทุ่งนา สิบตำรวจโทสำเนียงบอกว่าจะไปถ่าย จึงมอบปืนไว้กับสิบตำรวจเอกเหมแล้วสิบตำรวจโทสำเนียง ก็เดินไปโดยจำเลยเดินตามไปด้วย สิบตำรวจเอกเหมไปคุยอยู่กับพรรคพวก จำเลยได้กลับมาหาสิบตำรวจเอกเหม และเอาความเท็จบอกว่าสิบตำรวจโทสำเนียงให้มาเอาปืนจะไปธุระ สิบตำรวจเอกเหม เห็นว่า จำเลยกับเจ้าของปืนเป็นเพื่อนกัน จึงหลงเชื่อและมอบปืนให้จำเลยไป ผิดฐานฉ้อโกงตาม มาตรา 341 (สิบตำรวจโทสำเนียงเจ้าของปืน มอบการครอบครองดูแลให้แก่สิบตำรวจเอกเหม ไม่ใช่เพียงแต่มอบการยึดถือดูแลทรัพย์ จำเลยหลอกสิบตำรวจเอกเหม เป็นการหลอกให้ได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองจากสิบตำรวจเอกเหม ไม่ใช่ได้แต่เพียงการยึดถือ จึงเป็นฉ้อโกง)
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2147/2517 จำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าจะขายแร่พลวงให้ และขอรับราคาค่าแร่ทั้งหมด กับขอรับกระสอบไปใส่แร่ด้วย โดยมีเจตนาทุจริตมาแต่แรก ผลจากการหลอกลวงดังกล่าว ทำให้จำเลยได้รับเงินค่าแรง และกระสอบ 30 ใบ ไป แม้เงินค่าแรงจะเป็นทรัพย์สิน ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์อันสำคัญ ส่วนกระสอบนั้นจำเลยหลอก เพื่อให้สมกับอุบายก็ตาม แต่จำเลยได้กระสอบ ไปจากผู้เสียหาย ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงกระสอบด้วย จำเลยได้กระสอบไปจากผู้เสียหายเช่นนี้ เป็นการครอบครองอันได้มาจากการหลอกลวงผู้เสียหาย จึงมิใช่การครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นอันจะเป็นความผิดฐานยักยอก
- ฎ 948/2518 จำเลยหลอกลวงผู้เสียหาย ว่าจำเลยทำสัญญาจะซื้อที่ดินไว้ในราคา 350,000 บาท วางมัดจำไว้ 200,000 บาท จำเลยไม่มีเงินชำระราคา แล้วจำเลยพาผู้เสียหายไปดูที่ดินแปลงอื่น โดยจำเลยอ้างว่าเป็นที่ดินแปลงที่จำเลยซื้อไว้ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับเจ้าของที่ดิน โดยจำเลยได้รับเงินส่วนหนึ่งไปเป็นประโยชน์ของจำเลยกับพวก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกง (คดีนี้ หากจำเลยกับผู้ขายสมคบกัน / หากจำเลยไม่สมคบกับผู้ขายที่ดิน เช่น รู้ว่าผู้ขายจะจ่ายค่านายหน้า จำเลยจึงไปหลอกผู้เสียหายมาซื้อที่ดิน “จำเลยหลอกผู้เสียหาย แต่จำเลยจะได้ทรัพย์จากผู้ขายที่ดิน ก็เป็นความผิดฐานฉ้อโกง แต่ไม่เป็นตัวการ / หรือกรณีฟ้องหรือให้การเท็จ หากศาลหลงเชื่อพิพากษาให้ชนะคดี จะได้ทรัพย์จากคู่ความ ก็เป็นความผิดฐานฉ้อโกง)
- คำพิพากษาฎีกาที่ 973/2520 จำเลยมาเอารถจักรยาน 2 ล้อที่ผู้เสียหายฝาก จ.ไว้โดยว่าจะเอาไปให้ผู้เสียหาย แต่ไม่นำไปคืน จำเลยเจตนาทุจริตมาแต่แรกหลอกจนได้ทรัพย์ไปจาก จ.เป็นฉ้อโกงตาม ม.341 ไม่ใช่ลักทรัพย์ตามฟ้อง ลงโทษไม่ได้
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2922/2524 สัญญามีความว่า ผู้เสียหายจะจ่ายค่าสมนาคุณให้แก่จำเลย ก็ต่อเมื่อผู้เสียหายได้ทำสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายเบียร์กับบริษัท บ. เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นลักษณะของสัญญาต่างตอบแทน ถ้าไม่ได้เป็นตัวแทน ก็ไม่ต้องจ่ายค่าสมนาคุณหรือทรัพย์สินอื่นใด แม้ผู้เสียหายจะหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลยที่กล่าวอ้างว่าบริษัท บ. จะตั้งผู้เสียหายเป็นตัวแทนคนใหม่ จนลงชื่อในสัญญาดังกล่าว การกระทำของจำเลย ก็ไม่เป็นความผิดฐานพยายามฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 3596/2532 ตามคำบรรยายฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ ได้ความว่าจำเลยได้ทำการหาผู้ฝากเงินออมสินประเภทสงเคราะห์ชีวิต และครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์โดยหลอกลวงแจ้งเงื่อนไขในการทำสัญญาอันเป็นเท็จ และโดยการหลอกลวงของจำเลยดังกล่าว ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดหลงเข้าทำสัญญาฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิตและครอบครัว แบบเพิ่มพูนทรัพย์กับธนาคารออมสิน และธนาคารออมสินได้จ่ายเงินชดเชยค่าใช้จ่ายและเงินรับรองในการหาผู้ฝากและเงินสมนาคุณ แพทย์ผู้ตรวจร่างกายผู้เข้าทำสัญญาฝากเงินกับธนาคารออมสินแก่จำเลย กรณีดังกล่าวแม้จำเลยจะหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ แต่จำเลยก็ไม่ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามการที่ธนาคารออมสินได้จ่ายเงินให้แก่จำเลยก็เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับหรือตามสัญญาซึ่งมีข้อผูกพันที่จะต้องให้แก่จำเลย มิใช่จ่ายให้จำเลยโดยเหตุที่จำเลยหลอกลวง และมิใช่ผลโดยตรงจากการหลอกลวงของจำเลยการหลอกลวงของจำเลย เป็นแต่เพียงทำให้ประชาชน เข้าทำสัญญาฝากเงินประเภทสงเคราะห์ชีวิต และครอบครัวแบบเพิ่มพูนทรัพย์ กับธนาคารออมสินเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 609/2536 จำเลยกับพวกได้หลอกลวงโจทก์ร่วมด้วยข้อความอันเป็นเท็จ เพื่อให้ได้ไปซึ่งหนังสือรับรองการทำผลประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ซึ่งเป็นของจำเลย และจำเลยนำมามอบให้โจทก์ร่วมยึดถือไว้เป็นประกัน ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว ซึ่งโจทก์ร่วมได้ชำระราคาค่าที่ดินให้จำเลยไปครบถ้วนแล้ว โดยจำเลยหลอกลวงว่าจะนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปเป็นประกันที่ศาล โจทก์ร่วมหลงเชื่อ จึงมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยไป ความจริงจำเลยไม่ได้มีคดีที่ศาล และมิได้มีเจตนาจะนำหนังสือรับรอง การทำประโยชน์ไปเป็นหลักประกันที่ศาล แต่เมื่อได้ความว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ยังเป็นของจำเลยเอง จึงยังไม่อาจถือว่าจำเลยได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากโจทก์ร่วม จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 5729/2539 การที่ผู้กระทำผิดฐานฉ้อโกงได้ไปซึ่งทรัพย์สิน จากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่ 3 “ต้องเป็นผลโดยตรงจากการหลอกลวง” ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง / บริษัท ย. โดยจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 อ้างว่าได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ประกอบกิจการเกี่ยวกับการเป็นโบรคเกอร์ให้กับผู้ลงทุน ในการติดต่อซื้อ-ขายในสัญญาสกุลเงินตราต่างประเทศ กับตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศทั่วโลก โดยบริษัท ย. เป็นคอมมิสชั่นเฮ้าส์ของตลาดโลก ซึ่งไม่เป็นความจริง จึงเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง แต่การที่โจทก์และบุคคลอื่นนำเงินไปลงทุนกับบริษัท ย. เพื่อประกอบกิจการสั่งซื้อสั่งขายเงินตราต่างประเทศ มีลักษณะเป็นการเก็งกำไร การที่จะได้กำไรหรือขาดทุนขึ้นอยู่กับความเสี่ยง ทั้งการประกอบกิจการดังกล่าวก็เป็นวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งของบริษัท ย. หากแต่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังเท่านั้น จึงเป็นความสมัครใจในการร่วมลงทุน การได้ไปซึ่งทรัพย์สินในการร่วมลงทุน มิได้เกิดจากผลโดยตรงจากการถูกหลอกลวงว่าบริษัท ย. ได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายดังกล่าว การกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 จึงไม่เป็นความผิด (ลงมือหลอกลวง ประกอบด้วย เจตนาทุจริต แม้การได้ทรัพย์ไม่ใช่ผลโดยตรง ก็ผิด พยายามฉ้อโกงแล้ว)
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2652/2543 ความผิดฐานรับของโจรตาม ป.อ. มาตรา 357วรรคหนึ่ง จะเป็นความผิด ก็ต่อเมื่อได้กระทำภายหลังที่การกระทำความผิดในการได้ทรัพย์มานั้นสำเร็จไปแล้ว ม. กับพวกมีเจตนาทุจริตมาแต่แรก โดยหลอกลวงว่าจะซื้อที่ดินจากโจทก์ร่วม เมื่อโจทก์ร่วมมาที่บ้าน ม. เพื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายและให้วางมัดจำ ม. กลับชักชวนโจทก์ร่วมให้ร่วมกับ ม. เล่นการพนันกับพวกของ ม.โจทก์ร่วมเล่นการพนันเสีย การติดต่อขอซื้อที่ดินและการเล่นการพนัน จึงเป็นเพียงเหตุการณ์ที่ ม. กับพวกสร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงเอาเงินของโจทก์ร่วม และโดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้ ม. กับพวกได้ไปซึ่งเงินจากโจทก์ร่วม กับเงินที่โจทก์ร่วมให้ จ. โอนมาให้แก่จำเลย แสดงว่าจำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงของ ม. หาใช่เข้าไปเกี่ยวข้องภายหลัง ม. ได้เงินมาแล้วไม่ จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2705/2543 หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) ที่จำเลยมอบให้โจทก์เป็นประกันตามสัญญากู้ยืม โจทก์มีสิทธิที่จะยึดถือไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้เสียก่อน และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) แม้เป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียว ตาม สภาพเป็นวัตถุมีรูปร่างซึ่งอาจมีราคาและถือเอาได้ จึงเป็นทั้งทรัพย์และทรัพย์สินตาม ป.พ.พ. มาตรา 137, 138 ฉะนั้น ถ้าหากจำเลยโดยทุจริตหลอกลวงโจทก์ และการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากโจทก์ ก็เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ตาม ป.อ. มาตรา 341 ได้ เพราะความผิดฐานนี้ไม่ได้จำกัดว่าผู้ที่ถูกหลอกลวงจะต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ แม้จะเป็นเจ้าหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์ของลูกหนี้ไว้ ใครหลอกลวงให้เขาส่งทรัพย์นั้น ก็อาจมีความผิดตามมาตรานี้ได้
- การได้ไปซึ่ง “ทรัพย์สิน”
- คำพิพากษาฎีกาที่ 40/2508 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้กู้เงินผู้เสียหายฯลฯ เอาโฉนดที่ดิน 5 โฉนดมอบให้ผู้เสียหายยึดถือไว้เป็นประกัน ฯลฯ ต่อมาวันที่ 30 กันยายน 2498 จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะโอนโฉนดให้ผู้เสียหาย ฯลฯ แล้วเพทุบายขอรับโฉนดไป จากผู้เสียหายว่าจะเอาไปทำการโอนให้ตามข้อตกลง แต่จำเลยโอนให้เพียง 2 โฉนด ฯลฯ กับต่อมาวันที่ 3-4 ตุลาคม2498 จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่า จำเลยได้โอนโฉนดให้เรียบร้อยแล้ว รอแต่วันรับโฉนดเท่านั้น ผู้เสียหายไม่จำเป็นต้องยึดหนังสือสัญญากู้ไว้ ผู้เสียหายหลงเชื่อได้มอบหนังสือสัญญากู้ให้จำเลยไป ทั้งนี้ ตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงให้ส่งโฉนดและรับไปแล้ว ได้ฉ้อโกงเอาไว้และมีเจตนาทุจริตคิดหลอกลวงให้ผู้เสียหายส่งหนังสือสัญญากู้ ฯลฯ ดังนี้ แม้ศาลอุทธรณ์จะฟังว่า โฉนดที่โจทก์หาว่าจำเลยฉ้อโกงนั้น ไม่ได้อยู่กับผู้เสียหาย ก็ยังอาจว่าจำเลยหลอกลวงให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่า จำเลยได้ขอให้หอทะเบียนโอนโฉนดเหล่านั้นให้แล้ว ผู้เสียหายจึงคืนสัญญากู้ให้จำเลยไปเพราะเป็นคนละเหตุ ทั้งข้อหาว่าจำเลยฉ้อโกงโฉนดและข้อหาฉ้อโกงหนังสือสัญญากู้ ต่างกรรมต่างวาระกันแยกได้เป็น 2 กระทง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1733/2516 จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่า รถยนต์ของจำเลยขัดข้อง จึงว่าจ้างรถยนต์ผู้เสียหายไปส่ง เมื่อส่งเรียบร้อยแล้วจะให้ค่าขนส่ง 1,000 บาท ผู้เสียหายหลงเชื่อได้รับจ้างขนส่งให้ จำเลยได้รับผลเพียงการขนส่งจากผู้เสียหาย จำเลยไม่ได้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้เสียหาย ส่วนเงินค่าขนส่ง 1,000 บาท ที่จำเลยไม่ได้ชำระแก่ผู้เสียหายนั้น เป็นทรัพย์สินที่ผู้เสี่ยหายจะเรียกร้องเอาจากจำเลยภายหลัง เมื่อขนส่งให้จำเลยถึงที่ที่ตกลงกันแล้ว กรณีเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1279/2517 (ผู้ขายที่ดิน หลอกนายหน้าค้าที่ดินว่า ยังไม่ได้ขายที่ดิน เพื่อไม่ต้องจ่ายค่านายหน้า ไม่ผิดฉ้อโกง) โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จัดการขายที่ดินให้จำเลยที่ 1 มีสิทธิได้ค่านายหน้าจากจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันทุจริตแจ้งความเท็จและปกปิดความจริงต่อโจทก์ โดยบอกว่ายังขายที่ดินไม่ได้ แล้วจำเลยทั้งสองได้ค่านายหน้าอันเป็นสิทธิของโจทก์ไป ดังนี้ ตามคำฟ้องจำเลยไม่ได้เงินไปจากโจทก์ซึ่งอ้างว่าถูกหลอกลวง หรือจากบุคคลที่สาม จำเลยไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 4046/2536 (สบฎ เน 60) “เอกสารสัญญาที่เป็นเอกสารสิทธิ” แม้จะเป็นเพียงกระดาษแผ่นเดียวก็ถือว่าเป็นทรัพย์ จำเลยหลอกลวงเอาเอกสารสัญญาของโจทก์ไป จึงมีความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2379/2526 จำเลยเป็นพนักงานบัญชีของธนาคาร พิมพ์ตัวเลขจำนวนเงิน 190,000 บาท ลงในช่องของการ์ดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของธนาคารซึ่งตนมีหน้าที่ควบคุมการ์ดดังกล่าว เป็นการกระทำภายในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของจำเลย แม้ความจริงจะไม่มีการนำเงินดังกล่าวเข้าฝากธนาคารเลย ก็เป็นการลงข้อความเท็จเท่านั้น หาใช่เป็นการปลอมเอกสารไม่ เพราะมิใช่เป็นการทำปลอมเอกสารอันแท้จริงของผู้ใด จำเลยไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร /พวกจำเลยลงชื่อสั่งจ่ายเช็ค แล้วจำเลยกรอกวัน เดือน ปี และจำนวนเงินลงในเช็คที่พวกจำเลยเว้นว่างไว้ เป็นการกระทำลงไปด้วยความยินยอมของผู้สั่งจ่าย เพื่อร่วมมือกันฉ้อโกงธนาคารมิได้มีการปลอมเช็คของผู้ใด จำเลยไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร แม้นำไปใช้ ก็ไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม คงมีความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 7264/2543 โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างขับรถยนต์ของโจทก์ลงจากอาคารจอดรถของจำเลย ผู้เป็นนายจ้างแล้วแสดงบัตรจอดรถที่มีตราประทับว่าบริการแผนกจัดเลี้ยง 14 ต่อพนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งทำหน้าที่เก็บค่าบริการจอดรถ โจทก์จึงไม่เสียค่าจอดรถแก่จำเลย โดยทราบดีว่าจำเลยมีข้อห้ามมิให้พนักงานนำรถขึ้นไปจอดบนอาคารจอดรถ โจทก์ได้รับผลเพียงการบริการจอดรถจากจำเลยหาได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากจำเลยไม่ จึงไม่เป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 และมิได้เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย
- กรณีเกี่ยวกับการทำสัญญาทางแพ่ง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 979/2495 จำเลยกล่าวเท็จให้ผู้อื่นจองหุ้นบริษัทหนึ่ง ซึ่งจำเลยอ้างตนว่าเป็นผู้อำนวยการบริษัท จนผู้อื่นเชื่อถือส่งเงินค่าจองหุ้นครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลย แต่จำเลยเพิ่งนำหนังสือบริคณห์สนธิไปจดทะเบียนภายหลัง ซึ่งคนอื่นๆ เข้าใจว่าจำเลยได้ตั้งเป็นบริษัทแล้ว และต่อจากนั้นจำเลยก็มิได้ดำเนินการต่อไปให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อจัดตั้งบริษัทให้เป็นนิติบุคคลขึ้น กิจการที่จำเลยดำเนินอยู่ไม่มีอะไร และศาลฟังได้ว่าจำเลยมีแผนการณ์จะฉ้อโกงมาแต่ต้น จำเลยตั้งบริษัทขึ้นเป็นพิธีบังหน้าเพื่อการทุจริตของจำเลยเท่านั้น ดังนี้ จำเลยย่อมมีผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 917/2504 การที่เจ้าหนี้ได้รับต้นเงินดอกเบี้ยมาแล้ว ไม่สลักหลังในสัญญากู้ตามที่รับปากกับลูกหนี้นั้น ไม่ผิดฐานฉ้อโกง และเมื่อเอาเงินดังว่านี้ไปเป็นประโยชน์ตนและผู้อื่น ก็ไม่ผิดฐานยักยอกเพราะเงินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าหนี้แล้ว
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1014/2505 โจทก์จะให้จำเลยกู้เงินถ้ามีหลักฐานมาประกัน จำเลยจึงพูดอวดอ้างว่าจำเลยมีบัญชีเงินฝากที่ธนาคารเกษตรจำกัด แล้วควักเอาเช็คออกมาเซ็นชื่อให้โจทก์หลงเชื่อจำเลยในการอวดอ้างแสดงข้อความเท็จนี้ จึงจ่ายเงินให้จำเลยกู้ยืมไป ดังนี้ เป็นความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1514/2508 จำเลยเข้าไปซื้อสบู่ในร้านผู้เสียหาย 1 ก้อน ราคา 3 บาท จำเลยส่งธนบัตรใบละ 100 บาทให้ ผู้เสียหายทอนให้ 97 บาทต่อมาจำเลยพูดว่าไม่ต้องการสบู่ขอคืนเงิน พร้อมกับส่งสบู่และเงินทอนให้ผู้เสียหาย ผู้เสียหายรับเงินทอนโดยไม่นับดู แล้วคืนธนบัตร 100 บาทให้จำเลย จำเลยต้องการเงินจำนวนหนึ่งจากเจ้าทรัพย์ โดยใช้อุบายทำทีว่าจะซื้อสบู่ เมื่อได้เงินทอนแล้วก็กลับบอกเลิกไม่ซื้อสบู่และขอธนบัตรใบละ 100 บาทคืน แต่ฉวยโอกาสทำการทุจริตยักเอาเงินไว้อีกเสีย 50 บาท โดยแกล้งทำเป็นซื้อสบู่เป็นฉากบังหน้าอาจเป็นเท็จ เพื่อหลอกลวงให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สินคือเงินส่วนหนึ่งที่เจ้าทรัพย์ทอนให้ ผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 16/2510 เอกสารการซื้อรถและรถรายพิพาท เป็นของจำเลยทั้งสิ้น จำเลยได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ธนาคาร ผู้เสียหายเป็นผู้ค้ำประกัน ระหว่างจำเลยกำลังผ่อนชำระเงินให้แก่ธนาคารตามสัญญา / การที่จำเลยยอมทิ้งรถและเอกสารการซื้อรถให้ผู้เสียหายด้วยความเกรงใจ ผู้เสียหายไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะยึดเอกสารและรถไว้ เมื่อจำเลยกลับใจ จำเลยย่อมมีสิทธิมาเอารถของจำเลยไป และมีสิทธิไปขอเอกสารของจำเลยจากผู้รักษาไว้ได้ การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 856/2510 จำเลยเอาความเท็จไปหลอกลวงโจทก์ ว่าเป็นหัวหน้าวงแชร์เปียหวยและมีแชร์อยู่ โจทก์หลงเชื่อจึงตกลงรับซื้อแชร์ไว้โดยจ่ายเงินให้จำเลยไป 7,000 บาท ซึ่งความจริงจำเลยไม่ได้เปิดวงแชร์เปียหวยตามที่จำเลยอ้าง ผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1554/2511 ขอซื้อโคจากผู้เสียหายโดยให้ผู้เสียหายนำโคไปส่งที่บ้านจำเลย แล้วจำเลยจะชำระราคาให้ เมื่อผู้เสียหายนำโคไปส่งให้แล้ว จำเลยกลับเบี่ยงบ่ายขอชำระในวันรุ่งขึ้น และคืนนั้นจำเลยก็พาโคหนีไป เห็นได้ว่า จำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้เสียหาย โดยไม่มีเจตนาจะใช้ราคาโคมาแต่เริ่มต้น จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1931/2514 จำเลยมีที่นา แต่ได้หลอกลวง พ.ให้หลงเชื่อว่ามีสวนส้ม จน พ. ตกลงรับซื้อฝากและจ่ายเงินให้จำเลยไปโดยให้บุตรของ พ.ไปลงชื่อรับซื้อฝากแทน ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยจงใจเจตนาฉ้อโกง พ.โดยตรง และ พ.ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานฉ้อโกงของจำเลยแล้ว พ. จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจตามกฎหมายที่จะร้องทุกข์ได้
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2147/2517 จำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายว่าจะขายแร่พลวงให้ และขอรับราคาค่าแร่ทั้งหมด กับขอรับกระสอบไปใส่แร่ด้วย โดยมีเจตนาทุจริตมาแต่แรก ผลจากการหลอกลวงดังกล่าว ทำให้จำเลยได้รับเงินค่าแรง และกระสอบ 30 ใบไปจากผู้เสียหายในคราวเดียวกันแม้ “เงินค่าแรง” จะเป็นทรัพย์สิน ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์อันสำคัญที่จำเลยมุ่งหมายหลอกลวงไปจากผู้เสียหาย / ส่วน “กระสอบ” นั้น จำเลยหลอกลวงให้ผู้เสียหายส่งให้ เพื่อให้สมกับอุบายของจำเลยที่อ้างว่ามีแร่ที่จะขายให้เท่านั้นก็ตาม แต่การที่จำเลยได้กระสอบไปด้วยนี้ ก็ได้ไปจากการหลอกลวงผู้เสียหาย ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ว่าจะใส่แร่พลวงมาส่งให้ โดยจำเลยมิได้ตั้งใจจะนำกระสอบไปใส่แร่พลวงมาส่งให้แก่ผู้เสียหายเลย แสดงว่าจำเลยมีเจตนามาแต่แรกแล้ว ว่าจะหลอกลวงเอากระสอบ 30 ใบนี้จากผู้เสียหายด้วยเหมือนกัน จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงกระสอบด้วย / ส่วนการที่ผู้เสียหายเข้าใจว่าให้กระสอบแก่จำเลยไป ในลักษณะเป็นการยืมใช้คงรูปนั้น “ก็เป็นความเข้าใจผิดของผู้เสียหาย” ซึ่งถูกจำเลยหลอกลวงเพียงฝ่ายเดียว จำเลยหาได้ตั้งใจปฏิบัติตามที่ผู้เสียหายหลงเข้าใจไม่ และการทำจำเลยได้กระสอบไปจากผู้เสียหายเช่นนี้ เป็นการครอบครองอันได้มาจากการหลอกลวงผู้เสียหาย จึงมิใช่การครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น อันจะเป็นความผิดฐานยักยอก
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2885/2517 จำเลยตกลงซื้อเรือขนาด 6 ตันมาโดยยังไม่ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กัน หลังจากนั้นจำเลยได้ขอทำทะเบียนเรือขึ้นใหม่ ทั้งที่มีทะเบียนเรือโดยชอบอยู่แล้ว และเปลี่ยนชื่อเรือเสียใหม่ด้วย แล้วจำเลยนำเรือไปขายแก่โจทก์ร่วมโดยอาศัยใบทะเบียนที่ทำขึ้นใหม่ ดังนี้ จำเลยยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในเรือนั้นไม่อาจโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ร่วมได้ แม้โจทก์ร่วมจะได้จดทะเบียนการโอนถูกต้องตาม พ.ร.บ. เรือไทย พ.ศ.2481 ก็หาได้กรรมสิทธิ์ในเรือนั้นไม่ /จำเลยนำเรือไปขายให้โจทก์ร่วม โดยมิได้บอกให้โจทก์ร่วมรู้ว่าเป็นของผู้อื่นและมิได้มีชื่อเช่นนั้นโจทก์ร่วมหลงเชื่อจ่ายเงินค่าเรือ ให้จำเลยไป โดยที่จำเลยไม่สามารถ และไม่มีเจตนาจะโอนกรรมสิทธิ์เรือพิพาทให้แก่โจทก์ร่วม ย่อมเป็นความผิดฐานฉ้อโกง หาใช่ความผิดฐานยักยอกไม่
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1719/2518 จำเลยชื่อ อำนาจ อยู่กาฬสินธุ์ หลอกว่าชื่อ คล้าย อยู่อุบลราชธานี เช่าซื้อรถยนต์ราคา 99,000 บาท ไปจากโจทก์ร่วม ชำระเงินแล้ว 15,000 บาท แล้วพารถหนีข้ามไปลาว เป็นความผิดตาม ม.341
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2303/2518 ผู้เสียหายมอบเงินให้จำเลยไปซื้อของ จัดการขายของที่ซื้อแล้วมอบทุนและกำไรให้ผู้เสียหาย โดยจำเลยได้ค่าจัดการและโดยผู้เสียหายมิได้คำนึงว่า จะไปซื้อของจากสโมสรท่าเรือตามที่จำเลยกล่าวอ้างหรือไม่ จำเลยนำกำไรมามอบให้ผู้เสียหายหลายคราว แต่ในที่สุดจำเลยก็มิได้มอบทุนและกำไรให้ผู้เสียหายครบถ้วน แม้จำเลยจะบอกผู้เสียหายว่ามีสิทธิออกจากสโมสรท่าเรือแต่ผู้เดียว และสโมสรท่าเรือไม่มีชื่อร้อยเอกสุพรที่รับผิดชอบในการออกของตามที่จำเลยอ้างก็ตาม ก็หาใช่เป็นข้อสำคัญที่จะถือว่าจำเลยหลอกลวงผู้เสียหายอันจะเอาผิดแก่จำเลยฐานฉ้อโกงได้ไม่ แต่เป็นเรื่องที่จำเลยไม่สามารถปฏิบัติ ให้เป็นไปตามที่ได้รับรองไว้ต่อผู้เสียหายเท่านั้น
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2510/2525 จำเลยหัวหน้าวงแชร์หลอกลวงโจทก์ร่วมว่า ฉ.ลูกวงจะขายแชร์ ซึ่งความจริง ฉ.ไม่ได้ขายแชร์ให้ผู้ใด ทำให้โจทก์ร่วมรับซื้อแชร์ดังกล่าวและจำเลยได้เงินค่าแชร์ไปจากโจทก์ร่วม ดังนี้ จำเลยมีความผิดตาม ป.อ.ม.341
- คำพิพากษาฎีกาที่ 151/2527 โจทก์ร่วมกับจำเลยทำการค้าเครื่องประดับสตรีเพื่อประโยชน์ร่วมกัน การที่จำเลยมาเอาสร้อยลูกปัดไปจากโจทก์ร่วมได้ทำหลักฐานการรับมอบให้ยึดถือไว้ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ร่วมมอบให้จำเลยไปขาย เพื่อผลกำไร ตามที่เคยปฏิบัติต่อกันมาก่อนโดยสุจริต เมื่อจำเลยขายได้แล้ว ไม่นำเงินมาชำระให้แก่โจทก์ร่วม จึงเป็นการผิดสัญญาทางแพ่ง คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงเอาสร้อยลูกปัดไปจากโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยไม่มีมูลความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ.ม.341
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1124/12529 จำเลยติดต่อผู้เสียหายให้มาซื้อโคมาขายให้ เมื่อจำเลยขายโคได้แล้วจะนำเงินค่านายหน้าและค่าโคมาชำระให้ ผู้เสียหายซื้อโคได้แล้วมอบให้จำเลยไป จำเลยไม่นำเงินค่านายหน้าและค่าโคมาชำระเมื่อถูกจับกุมก็ให้การว่าได้ชำระเงินให้ผู้เสียหายจนครบถ้วนแล้ว ดังนี้จำเลยมิได้มีเจตนาจะซื้อโคอย่างแท้จริง แต่ได้วางแผนหลอกลวงผู้เสียหายมาแต่ต้น โดยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าจะซื้อ แต่ความจริงจำเลยมิได้มีเจตนาจะซื้อและชำระค่าโค จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. ม.341
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1626/2531 ผู้เสียหายตกลงขายข้าวเปลือกจำนวนมากแก่จำเลย โดยยินยอมให้จำเลยนำข้าวเปลือกที่ตกลงซื้อขายกันนั้นไปก่อน แล้วมีข้อสัญญาว่าจำเลยจะชำระราคาภายหลังตามวันที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการซื้อขายกัน เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระราคาให้ตามวันที่ให้สัญญา จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต ก็เป็นเรื่องที่บรรยายเพื่อให้ครบองค์ประกอบ ความผิดฐานฉ้อโกง ไม่ทำให้คดีผิดสัญญาทางแพ่งกลับกลายเป็นคดีอาญา
- คำพิพากษาฎีกาที่ 5886/2531 จำเลยติดต่อขอซื้อข้าวเปลือกจากผู้เสียหายโดยขอชำระราคาด้วยเช็คที่ ว.เป็นผู้ลงชื่อสั่งจ่ายให้ไว้ และจำเลยพูดรับรอบว่าหากเช็คที่จำเลยมอบให้ขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยจะเป็นผู้รับผิดชอบเองโดยจะขายนา 30 ไร่ของจำเลยมาชำระราคาข้าวเปลือกให้แก่ผู้เสียหายจนครบ ดังนี้การที่ผู้เสียหายยินยอมขายข้าวเปลือก ตามฟ้องให้แก่จำเลยกับพวกโดยยอมรับเช็คซึ่ง ว.สั่งจ่ายไว้เพื่อเป็นการชำระราคาข้าวเปลือก ก็เพราะจำเลยเป็นผู้ให้คำรับรอง เมื่อผู้เสียหายนำเช็คไปขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยกลับปฏิเสธความรับผิด ไม่ยอมรับรู้ใด ๆ ทั้งสิ้น อ้างว่าตนเป็นเพียงนายหน้าให้ ว.เท่านั้น พฤติการณ์ของจำเลยแสดงว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต คิดหลอกลวง เพื่อเอาข้าวเปลือกของผู้เสียหายทั้งสาม มีแผนการร่วมกับ ว.เจ้าของเช็ค โดยการให้คำรับรองด้วยข้อความอันเป็นเท็จต่อผู้เสียหายมาแต่ต้น จนผู้เสียหายหลงเชื่อยอมมอบข้าวเปลือกให้แก่จำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกับพวกฉ้อโกงโจทก์
- คำพิพากษาฎีกาที่ 19/2541 แม้ขณะจำเลยทำสัญญาขายไม้ไข่เขียวให้แก่โจทก์ร่วม จำเลยจะไม่ใช่ผู้รับสัมปทานทำไม้ในอ่างเก็บน้ำป่าพยอมโดยตรงตามที่อ้างต่อโจทก์ร่วมก็ตาม แต่จำเลยก็ได้เข้าทำไม้และทำสัญญาซื้อไม้ไข่เขียวจากองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ไว้ พอที่จะขายให้แก่โจทก์ร่วม ตามจำนวนที่ตกลงซื้อไว้แล้ว การที่จำเลยตกลงทำสัญญาขายไม้ไข่เขียวให้โจทก์ร่วม รับเงินค่าไม้ไปจากโจทก์ร่วมและส่งไม้ให้โจทก์ร่วมเพียง 2 ครั้ง ไม้ครบถ้วนตามสัญญา จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง มิใช่ความผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 935/2542 แม้ที่ดินและบ้านจะติดจำนองอยู่แต่กรรมสิทธิ์ก็ยังคงเป็นของจำเลย ซึ่งหากผู้เสียหายถือว่าเรื่องดังกล่าว เป็นเงื่อนไขสำคัญในการตัดสินใจที่จะซื้อหรือไม่แล้ว ก็ย่อมสามารถตรวจสอบได้จากหลักฐานทางทะเบียนที่สำนักงานที่ดิน แต่กลับไม่ตรวจสอบ หลังจากทำสัญญาแล้ว ผู้เสียหายก็เข้าอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทตลอดมาโดยความยินยอมของจำเลย ทั้งๆ ที่ยังชำระราคาไม่ครบ ได้ความว่าผู้เสียหายได้นำเงินส่วนที่เหลือ 150,000 บาท ไปชำระให้จำเลย แต่จำเลยไม่ยอมรับเงินโดยจำเลยอ้างว่าที่ดินอยู่ระหว่างแบ่งแยกยังไม่สามารถโอนให้ได้จึงไม่รับเงิน ซึ่งผู้เสียหายก็รับว่า ถ้าจำเลยไถ่ถอนจำนองได้ ผู้เสียหายเข้าใจว่าจำเลยจะโอนกรรมสิทธิ์บ้าน และที่ดินให้แก้ผู้เสียหาย จากพฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าว จึงยังฟังไม่ถนัดว่าจำเลยมีเจตนาหลอกลวงผู้เสียหายเพื่อประสงค์เอาเงิน มิฉะนั้นแล้วคงต้องรับเงินส่วนที่เหลือนั้นแน่นอน กรณีน่าเชื่อว่าจำเลยยังไม่สามารถนำเงินไปไถ่ถอนที่ดินแปลงใหญ่ทั้งแปลง และแบ่งแยกเพื่อโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้เสียหายได้ กรณีเป็นเรื่องพิพาทกันในทางแพ่งเท่านั้น ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานฉ้อโกง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 3677/2542 จำเลยขอกู้เงินจากผู้เสียหายโดยหลอกลวงว่าเป็นเจ้าของที่ดินมีบ้าน เป็นประกันเงินกู้ ต่อมาโดยการหลอกลวงของจำเลย ผู้เสียหายได้ยอมรับเอาที่ดินดังกล่าวหักกลบลบหนี้กับเงินกู้ยืม โดยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองบ้านและที่ดิน แล้วทำเป็นสัญญาซื้อขายระหว่างผู้เสียหายกับจำเลย ทำให้จำเลยหลุดพ้นจากหนี้สินทั้งหมด การกระทำของจำเลยในครั้งหลังไม่ได้มีการกล่าวข้อความหลอกลวงใด ๆ ขึ้นใหม่ เป็นเพียงผลต่อเนื่องจากการกระทำครั้งแรก โดยมีเจตนาอันเดียวกันเพื่อให้ได้รับเงินที่กู้ยืมไปจากผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยถึงจะต่างวาระกันก็เป็นความผิดกรรมเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น