วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อาญา มาตรา ๖๑ - ๖๒

อาญา มาตรา ๖๑ - ๖๒

มาตรา 61 ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่ง โดยสำคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่
(1) เจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง (สังเกตตัวบทใช้คำว่า ผู้ใดมีเจตนากระทำ)
- เจตนาแรก เป็นเจตนาประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลก็ได้
- ไม่ใช้กรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท
- เจตนาแรกต้องถึงขั้นลงมือทำผิด
(2) ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่ง โดยสำคัญผิด / มาตรา 61 มีผู้เกี่ยวข้องในการกระทำอยู่ 3 ฝ่าย (1) บุคคลผู้กระทำผิด (2) บุคคลที่ผู้กระทำผิด เจตนาจะทำกระทำ และ (3) บุคคลที่รับผลร้ายจากการกระทำ โดยสำคัญผิด
- บุคคลที่รับผลร้ายจากการกระทำ จะต้องได้รับผลร้ายนั้นแล้ว (จะถึงขั้นเป็นความผิดสำเร็จ หรือพยายามก็ได้)
- ใช้กับ วัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อ” อันเป็นประเภทเดียวกันเท่านั้น (ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน)
- กรณีวัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อนั้น ต่างประเภทกับวัตถุที่ถูกกระทำ ต้องพิจารณาเรื่องการไม่รู้ข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบความผิด ตามมาตรา 59 วรรคสาม , ความสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ตามมาตรา 62 วรรคแรก และหลักเกณฑ์ตามมาตรา 62 วรรคสอง คือ กรณีเหตุตามมาตรา 59 วรรคสาม หรือมาตรา 62 วรรคแรก เกิดขึ้นโดยประมาท ผู้กระทำต้องรับผิด กรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษ แม้กระทำโดยประมาท
(3) ผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่
- เจตนาประสงค์ต่อผลโดยตรง รับผิดตามเจตนาที่มีอยู่เดิม แม้สำคัญผิดในตัวบุคคล
- เจตนาแรก (ฆ่า , ทำร้ายร่างกาย , ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์) โอนไปยังผู้ถูกกระทำโดยสำคัญผิด หรือผู้ที่รับผลร้าย
- เจตนาแรก ประกอบด้วยเจตนาพิเศษ (ป้องกัน , จำเป็น , บันดาลโทสะ , ฆ่าโดยไตร่ตรอง ฯลฯ) โอนไปยังผู้ถูกกระทำโดยสำคัญผิด หรือผู้ที่รับผลร้าย
- ผู้กระทำรู้องค์ประกอบภายนอกเท่าไร รับผิดเท่านั้น
- หากไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด ถือว่าไม่มีเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสาม ผู้กระทำไม่ต้องรับผิด
- หากไม่รู้ข้อเท็จจริง อันทำให้ต้องรับโทษหนักขึ้น ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษหนักขึ้น ตามมาตรา 62 วรรคท้าย)
- ผู้กระทำรับผิดไม่เกินข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบความผิดนั้น
- ผู้กระทำไม่ต้องรับผิดต่อ บุคคลที่ผู้กระทำผิด เจตนาจะทำกระทำ” อีก (ไม่ต้องปรับบทเรื่องการพยายามกระทำผิด โดยไม่อาจบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ ตามมาตรา 81) ผู้กระทำต้องรับผิดต่อผู้รับผลร้ายฝ่ายเดียว
- มาตรา 61 แม้การกระทำนั้น มีเจตนาโดยสำคัญผิด ซึ่งเกิดขึ้นโดยประมาท มาตรา 59 วรรคสี่ ไม่ต้องปรับประมาทอีก เพราะต้องรับผิดในส่วนของ เจตนา” ตาม มาตรา 59 วรรค ต่อผู้รับผลร้ายอยู่แล้ว

- ถือว่าประสงค์ต่อผลแล้ว แม้ผิดตัว
- (ดูอ้างอิง ขส อ 2533 (1) (อ เกียรติขจรฯ 8/177ให้ยกตัวอย่างกรณีของ ม 61 ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น 1 ตัวอย่าง (2หากไม่มีมาตรา 61 ผลการวินิจฉัยตัวอย่างที่ยกมานั้น จะเปลี่ยนไปหรือไม่ อย่างไร)
- ดำ ประสงค์จะฆ่าขาว เมื่อแดงเดินมา ดำยิงแดง โดยเข้าใจว่ายิงขาว ดำผิด มาตรา 288 59 ว 2 + 61 แม้ไม่มีมาตรา 61 การเข้าใจผิดของดำ ก็ยังครบองค์ประกอบภายในตาม มาตรา 288 คือ รู้ว่า การยิง เป็นการฆ่า” + “รู้ว่าแดง เป็นผู้อื่น” และเมื่อเข้าองค์ประกอบภายนอก คือ มีการฆ่า และฆ่าผู้อื่น ครบโครงสร้างความรับผิด จึงต้องรับผิดตามกฎหมายเหมือนเดิม
- อย่าตอบว่าเจตนาต่อผู้เสียหายโดยตรง เพราะเป็นเรื่องกฎหมายปิดปากเท่านั้น (อก/130)
- การกระทำโดยสำคัญผิดต่อบุคคลตาม ม 61 นี้ ผู้กระทำไม่ต้องรับผิดต่อ บุคคลที่ตนตั้งใจ จะกระทำจริง” อีก (ต่างกับ การกระทำโดยพลาด ตาม ม 60 ซึ่งต้องรับผิดต่อบุคคลที่มุ่งหมายจะกระทำต่อ และรับผิดต่อบุคคลที่รับผลร้ายจากการกระทำโดยพลาดนั้นด้วย)
- การกระทำโดยสำคัญผิด ตาม ม 61 ต้องเกิดผลแก่บุคคลที่สาม
- เมื่อเจตนาโอนแล้ว ไม่ต้องรับผิด ม 80-81 ต่อความประสงค์เดิม เว้นแต่ ม 61 แล้วมีการกระทำโดยพลาด” ตาม ม 60 ด้วย (ม 60 รับผิดต่อเจตนาแรกด้วย) (อก/130)
- ม 61 ใช้กับ วัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อ” อันเป็นประเภทเดียวกันเท่านั้น (ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน)
- จะยิง ก.แต่เข้าใจผิด ยิงตอไม้แล้วไปถูก ข. (รับผิด ต่อ ก..288+59+81 รับผิดต่อ ข.288 + 59 + 60 ไม่ใช่ 61) (อก/130)
- จะยิงสัตว์ของ ก.ยิงไปที่พุ่มไม้กลายเป็น ข.แล้ว ข.ตาย (รับผิดต่อ ก.ปรับ ม 358+81 ส่วนรับผิดต่อ ข.ด้านเจตนานั้น ปรับ ม 59 ว ไม่ต้องรับผิด ด้านประมาทนั้นขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง) (อก/130)
- มาตรา 365 (3) บุกรุกที่ดินของดำ เข้าใจว่าบุกรุกที่ดินของขาว (อก/131)
- การกระทำโดยสำคัญผิด ตาม ม 61 “แต่วัตถุที่กระทำ ไม่ตรงกับความเข้าใจ” ต้องรับผิด ม 81 ต่อความประสงค์แรก
- จะยิงสุนัขของดำ แต่ยิงนายแดงในพุ่มไม้
- รับผิดต่อดำ ตามมาตรา 358+81
- รับผิดต่อแดง ตามมาตรา 291+59 ว 4+62 ว ขึ้นอยู่กับ ประมาท ตามมาตรา 59 ว หรือไม่ ถือว่าไม่เจตนาต่อแดง (อก/132)
- ตั้งใจจะยิง สุนัขของดำ” แต่ยิง นายแดง” ซึ่งในพุ่มไม้ โดยไม่ดูให้ดีเสียก่อน (ประมาทสุนัขของดำมีอยู่จริง แต่ไม่อยู่บริเวณนั้น
- มีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ ตาม ม 59 ว 3 และองค์ประกอบภายนอกครบ ม 358 (สุนัขของดำมีอยู่จริงแต่การกระทำไม่บรรลุผลแน่แท้ เพราะสุนัขของดำไม่อยู่บริเวณนั้น ในขณะนั้น ปรับ ม 81
- เจตนาฆ่า นั้นไม่มี เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด ตาม มาตรา 59 วรรค 2 , 3 ไม่ผิด มาตรา 288
- แต่การไม่รู้ข้อเท็จจริงนั้น เกิดขึ้นด้วยความประมาท ตามมาตรา 59 ว 4 ซึ่ง ตามมาตรา 62 วรรค 2 ให้ต้องรับผิดเมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้ผู้กระทำต้องรับโทษ แม้ได้กระทำโดยประมาท ซึ่งกรณีความผิดต่อชีวิต ที่กฎหมายให้รับผิดแม้กระทำโดยประมาท ได้แก่ ม 291 ความสำคัญผิดเกิดโดยประมาท ความตาย จึงต้องรับผิดตามมาตรา 291
- ตั้งใจจะยิง นายดำ” แต่ยิง สุนัขของแดง” ซึ่งในพุ่มไม้ โดยไม่ดูให้ดีเสียก่อน (ประมาท)
- มีเจตนาฆ่า ตามมาตรา 59 ว 3 และองค์ประกอบภายนอกครบ ตามมาตรา 288 (นายดำมีชีวิตอยู่แต่การกระทำไม่บรรลุผลแน่แท้ เพราะนายดำไม่อยู่บริเวณนั้น ในขณะนั้น ปรับบทผิดพยายามโดยไม่บรรลุผลได้อย่างแน่แท้ ตามมาตรา 81
- เจตนาทำให้เสียทรัพย์ นั้นไม่มี เพราะไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด ตามมาตรา 59 ว 2 , 3 ไม่ผิด ตามมาตรา 358
- แต่การไม่รู้ข้อเท็จจริงนั้น เกิดขึ้นด้วยความประมาท ตามมาตรา 59 ว 4 ซึ่งตามมาตรา 62 ว 1 ให้ต้องรับผิดเมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้รับผิด แม้ได้กระทำโดยประมาท ซึ่งกรณีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์นั้น ไม่มีกฎหมายให้รับผิด เมื่อกระทำโดยประมาท จึงไม่ต้องรับผิด ตามมาตรา 59 ว 1
- กรณีไม่เกิดผลสำเร็จ ต่อผู้ที่รับผลร้าย ผู้กระทำรับผิดฐานพยายามกระทำความผิด ตาม มาตรา 80
- ตั้งใจจะยิงดำ แต่ยิงขาวไม่ถูก หรือไม่ตาย โดยสำคัญผิดในตัวบุคคล (อก/131)
- การกระทำโดยสำคัญผิด ตาม ม 61 อาจเกี่ยวกับ ม 62 ว 1
- จะลักทรัพย์ของภรรยา แต่ลักทรัพย์ของคนอื่น ปรับบท เข้ามาตรา 61 + 62 ว 1 + 334 ไม่ต้องรับโทษตาม ตามมาตรา 71
- เจตนาประสงค์ต่อผลโดยตรง รับผิดตามเจตนาที่มีอยู่เดิม แม้สำคัญผิดในตัวบุคคล (รู้องค์ประกอบภายนอกเท่าไร รับผิดเท่านั้น)
- จะฆ่าเจ้าพนักงาน ม 289 (4) ต่อนายดำตำรวจ แต่ทำกับนายขาวซึ่งเป็นตำรวจ (อก/133)
- คำพิพากษาฎีกาที่ 90/2531 จำเลยให้พวกมาร้องเรียก พ. ให้ออกมาจากบ้าน โดยจำเลยแอบซุ่มยิงอยู่ แม้บังเอิญผู้ตายลุกขึ้นมาเปิดประตูบ้านลงบันได เพื่อจะไปถ่ายปัสสาวะข้างล่าง แล้วถูกจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโดยสำคัญผิดว่าเป็น พ.ก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
- เจตนาประสงค์ต่อผลโดยตรง รับผิดตามเจตนาที่มีอยู่เดิม แต่รับผิดไม่เกินจริง
- จะฆ่าเจ้าพนักงาน ม 289 (2) แต่ฆ่าคนธรรมดา รับผิด ม 288
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1906/2528 จำเลยโกรธแค้นพวกที่รุมทำร้ายจำเลย ตั้งใจจะไปฆ่าเพื่อเป็นการล้างแค้น เมื่อพบผู้ตาย จำเลยเข้าใจว่าผู้ตายเป็นพวกที่รุมทำร้ายตน จึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายทันที ดังนี้ เป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
- แม้จะการกระทำโดยสำคัญผิด ตาม ม 61 เกิดขึ้นโดยประมาท ม 59 ว ไม่ต้องปรับประมาทอีกเพราะต้องรับผิดในส่วนของ เจตนา” ตาม ม 59 ว ต่อผู้รับผลร้ายอยู่แล้ว
- แต่หากเป็น การสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ตามมาตรา 62 ว โดยประมาทตามมาตรา 59 ว 4ต้องปรับ ตามมาตรา 62 ว ด้วย (อก/134)
- เจตนาแรกต้องถึงขั้นลงมือทำผิด
- ตัวบทใช้คำว่า ผู้ใดมีเจตนากระทำ” ดังนั้น หากดักรอเพื่อฆ่านายดำ ขณะนั่งเช็ดปืนอยู่ นายแดงผู้ตายเดินมา บังเอิญกระสุนลั่นไปถูกนายแดงตาย การนั่งขัดปืน แล้วกระสุนลั่นไป ไม่ใช่กระทำโดยเจตนา ไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 289 (4เพราะยังไม่มีการกระทำโดยเจตนา และเมื่อยังไม่มีเจตนากระทำ จึงไม่ปรับ มาตรา 61 แต่หากปืนลั่น เพราะประมาท ก็รับผิดตามมาตรา 291 59 ว 4 ซึ่งกรณีประมาท ไม่ใช้มาตรา 61 มาปรับความรับผิดเช่นกัน
- ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า มาตรา 61
- (ขส อ 2520/ 6) กลมจ้างเบี้ยวไปฆ่าเหลี่ยม บิดาของกลม เบี้ยวไม่รู้ไปถามเหลี่ยม เหลี่ยมชี้แบน จึงยิงแบนตาย กลมผิด ม 289 (4) + 84 (สังเกต ม 289 (1)) / เบี้ยว ผิด ม 289 (4) + 61 /เหลี่ยม ไม่ผิดสนับสนุน เพราะไม่มีเจตนาให้ความสะดวกหรือช่วยเหลือ และไม่ผิดผู้ใช้ เพราะไม่ได้ก่อให้เบี้ยวตัดสินใจ
- กรณีของเหลี่ยม การชี้ไปที่ผู้อื่น ไม่ได้มีเจตนาร่วมกับมือปืน จึงไม่ต้องรับผิดในการกระทำของมือปืน แม้เล็งเห็นผลได้ว่า มือปืนจะยิงผู้อื่นนั้น แต่ผู้ชี้ไม่มีการกระทำ อันเป็นการฆ่า และไม่ต้องรับผิดในการกระทำของมือปืน เพราะไม่มีเจตนาร่วมกับมือปืน ไม่ผ่านโครงสร้างเรื่องการกระทำ และเจตนา ผู้ชี้ไม่ต้องรับผิด จึงไม่ต้องอ้างจำเป็น หรือป้องกัน
- ต่างกับกรณีที่เป็นผู้สนับสนุน ชี้ให้มือปืนรู้ว่า คนที่ต้องการจะฆ่าเป็นผู้ใด
- (ขส อ 2523/ 5) ใหญ่ไปแอบซุ่มยิง แต่ยิงผิดคนโดยสำคัญผิด ถูกนายโต เป็นรอยไหม้ แล้วเลยไปถูกบิดานายใหญ่ สาหัส ต่อโต ผิด ม 289 (4) + 80 + 61 ฎ 70/2493 / ต่อบิดา ผิด ม 289 (4) + 60 + 61 ไม่รับผิด ม 289 (1) / เป็นกรรมเดียว จะโทษพยายามฆ่าโต หรือบิดาก็ได้ โทษเท่ากัน ฎ 241-2/2504
- (ขส อ 2529/ 5) ดักยิงขโมย แต่ยิงเงาต้นไม้ โดยสำคัญผิด พลาดไปถูกม้าแดงตาย และแดงตกม้าสาหัส ซุ่มยิง ผิด ม 289 (4) + 81 ไม่เป็นป้องกัน ม 68 / ถูกม้าแดงตาย ไม่มีเจตนา ม 358 ไม่ผิด (และไม่ใช่พลาด ม 60 ต่างเจตนา) / แดงสาหัส ผิด ม 300

มาตรา 62 ข้อเท็จจริงใดถ้ามีอยู่จริง จะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ หรือได้รับโทษน้อยลง แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง แต่ผู้กระทำ สำคัญผิด ว่ามีอยู่จริง ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด หรือได้รับยกเว้นโทษ หรือได้รับโทษน้อยลง แล้วแต่กรณี
ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่ง มาตรา 59 หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้ เกิดขึ้นด้วยความประมาท” ของผู้กระทำความผิด ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษ แม้กระทำโดยประมาท
บุคคลจะต้องรับ โทษหนักขึ้น โดยอาศัยข้อเท็จจริงใด” บุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น
- มาตรา 62 วรรค ต้องมีเจตนา (ประสงค์ต่อผล , ย่อมเล็งเห็นผล หรือเจตนาโดยพลาดก่อน หากขาดเจตนา ตามมาตรา 59 วรรค ปรับ มาตรา 59 วรรค ไม่ใช่ มาตรา 63 วรรค 1
- เงื่อนไข ให้ดูองค์ประกอบภายนอกก่อน หากขาดองค์ประกอบภายนอก ปรับไม่ผิด (ข้อสอบคัดเลือกผู้ช่วยผู้พิพากษาหรือ ปรับ ม 81 พยายามไม่อาจบรรลุผล (ข้อสอบคัดเลือกอัยการผู้ช่วย)หากไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด พิจารณา ประมาท” ต่อตามมาตรา 59 วรรค 3+มาตรา 62 วรรค 2(อก/151)
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1660/2511 มีผู้นำช้างไปล่ามไว้ใกล้กับสวนของจำเลยโดยจำเลยไม่รู้ กลางคืนช้างหลุดพังรั้วเข้าไปในสวนของจำเลย จำเลยพบช้างอยู่กลางไร่ข้าวโพดห่างประมาณ 4 วา และช้างเดินเข้าหาจำเลย จำเลยเข้าใจว่าเป็นช้างป่าจึงยิงไป 2 นัด เป็นการกระทำโดยจำเป็น จำเลยไม่ต้องรับโทษฐานทำให้เสียทรัพย์ (ความสำคัญผิดของจำเลย ถึงขั้นขาดองค์ประกอบภายนอก ตามมาตรา 59 ว 3 เนื่องจากจำเลยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์มีเจ้าของ จำเลยจึงไม่มีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ “ผู้อื่น” จำเลยไม่ต้องรับผิด ตามโครงสร้างความรับผิด และแม้ความเข้าใจผิด เกิดจากความประมาท ก็ไม่มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์โดยประมาท จึงไม่ต้องรับผิด)
- คำพิพากษาฎีกาที่ 89/2519 จำเลยเข้าใจว่าเสารั้วของโจทก์ที่ขุดหลุมปักไว้อยู่ในที่ดินของจำเลย จำเลยจึงถอนออก โดยเจตนาใช้สิทธิตาม ป.พ.พ. มาตรา1336, 1337 ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 358 (อ จิตติ เห็นว่าครบองค์ประกอบภายนอก แต่สำคัญผิดในสิทธิตามกฎหมายแพ่งว่าตนมีสิทธิถอนเสาออกไปได้” ตามมาตรา 62 ทำให้ไม่เป็นความผิดหากเข้าใจว่า เป็นเสาของตน” ความสำคัญผิดนั้น ถึงขั้นไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอก ถือว่าไม่มีเจตนา ตามมาตรา 59 ว 3)
- สำคัญผิดในข้อเท็จจริง ที่หากมีอยู่จริง จะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด หรือสำคัญผิดให้ต้องป้องกัน
- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1954/2546 ผู้เสียหายที่ สวมกางเกงขายาวสีกากี สวมเสื้อยืดคอกลมสีขาวเข้าไปขอตรวจค้นตัวจำเลยโดยแจ้งว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ แต่ไม่ได้แต่งเครื่องแบบตำรวจหรือแสดงหลักฐานให้เห็นว่าตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้ทำการตามหน้าที่ กรณีอาจทำให้จำเลยเข้าใจผิดไปได้ แม้จำเลยจะต่อสู้ชกต่อยหรือใช้มีดแทงผู้เสียหายที่ 1 เพื่อขัดขวางไม่ให้ผู้เสียหายที่ ตรวจค้นและจับกุม จำเลยก็หามีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่และพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ไม่ แม้ในชั้นสอบสวนจำเลยจะให้การรับสารภาพฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ แต่บันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเป็นเพียงพยานบอกเล่า โดยลำพังไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังเพื่อลงโทษจำเลยได้
- คำพิพากษาฎีกาที่ 3869/2546 ในช่วงเวลาเกิดเหตุในละแวกบ้านจำเลยมีโจรผู้ร้ายชุกชุม และก่อนเกิดเหตุจำเลยเคยถูกคนร้ายเข้ามาลักทรัพย์ในบ้าน คืนเกิดเหตุผู้ตายได้ปีนเข้าบ้านจำเลยทางช่องลมโดยปราศจากเหตุสมควร ย่อมทำให้จำเลยสำคัญผิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายและในขณะนั้นจำเลยย่อมไม่อาจรู้ได้ว่าผู้ตายจะมีอาวุธหรือไม่ เพราะในห้องที่เกิดเหตุมืดและเป็นเวลากะทันหัน ถ้าเป็นคนร้ายซึ่งจะมาทำร้ายจำเลยจริงแล้ว การที่จะให้จำเลยรออยู่จนกว่าคนร้ายจะแสดงกิริยาทำร้ายแล้ว จำเลยก็อาจได้รับอันตรายก่อนที่จะทำการป้องกันได้ทันท่วงที และจำเลยก็ยิงผู้ตายไปเพียง นัด เมื่อผู้ตายล้มลงจำเลยก็มิได้ซ้ำแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงพอสมควรแก่เหตุ เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยสำคัญผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ประกอบด้วยมาตรา 62 วรรคแรก
- กรณีไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 59 วรรค และการสำคัญผิดในข้อเท็จจริงตาม มาตรา 62 วรรค ให้พิจารณาและตอบถึงเรื่องประมาทต่อไป ตามมาตรา 62 วรรค 2
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2483/2528 จำเลยใช้อาวุธปืนขู่ผู้ตาย มิให้เอาถ่านมาป้ายหน้าจำเลย โดยจำเลยไม่รู้ว่าอาวุธปืนนั้นมีกระสุนปืนบรรจุอยู่ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย จำเลยไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามที่โจทก์ฟ้อง แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงออกมาขู่ผู้ตาย โดยจำเลยไม่ดูเสียให้ดีก่อนว่ามีกระสุนบรรจุอยู่หรือไม่ เป็นเหตุให้กระสุนปืนลั่นไปถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้จำเลยมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย (จำเลยไม่รู้ว่าปืนมีกระสุนบรรจุ ถือว่าไม่มีเจตนาฆ่าตามมาตรา 59 วรรคสาม แต่เป็นการกระทำโดยประมาท “ประมาท” + ความตาย ตามมาตรา 62 ว 2 + มาตรา 59 ว 4 + มาตรา 291)
- การป้องกันตาม ม 68 โดยสำคัญผิดตาม มาตรา 61 อาจรับผิดฐานประมาท ตาม มาตรา 62 ว 2(อก/139)
- การกระทำเพื่อป้องกัน โดยเกิดจากสำคัญผิด
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1094/2501 ยิงคนตายในที่มืด โดยเล็งไปทางที่คนเห็น เพราะเข้าใจว่าเป็นคนร้ายมาแย่งชิงทรัพย์ ไม่พิจารณาให้รอบคอบ เป็นความผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนา โดยป้องกันทรัพย์เกินกว่าเหตุ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 872/2510 (อพ 63) จำเลยใช้ปืนยิงเด็ก ซึ่งส่องไฟหากที่ริมรั้วบ้านจำเลยถึงแก่ความตาย โดยจำเลยสำคัญผิดว่าเป็นคนร้ายจะมาฆ่าพี่จำเลย เป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน มีความผิดตาม มาตรา 288,69 (สำคัญผิดว่ามีอันตรายต้องป้องกัน เข้ามาตรา 62 ส่วน มาตรา 61 เป็นเรื่องสำคัญผิดตัว)
- ส่วนของเจตนา เกิดจากการสำคัญผิด
- ยิงโดยคิดว่าเป็นคนร้าย มีพฤติการณ์เกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ผิด ตามมาตรา 288 + 69 + 62
- ตามมาตรา 62 ให้ต้องรับผิดหากมีกฎหมายบัญญัติให้รับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท จึงวินิจฉัยด้านประมาทต่อไป
- ส่วนของประมาท
- ความสำคัญผิดเกิดขึ้นโดยประมาท ตามมาตรา 62 + ความตาย ผิด ตามมาตรา 291 กรรมเดียว ตามมาตรา 90 ลงโทษตามส่วนเจตนา ซึ่งเป็นบทหนัก
- คำพิพากษาฎีกาที่ 155/2512 เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหมายค้นและหมายจับไปจับกุมจำเลยที่บ้านในเวลาวิกาล โดยได้ปีนบ้านและรื้อฝาบ้านจำเลยเข้าไปจำเลยสำคัญผิดคิดว่าโจรเข้าปล้น เพราะจำเลยเคยถูกปล้นโดยคนร้ายปลอมเป็นตำรวจมาแล้ว จึงใช้ปืนยิงตำรวจบาดเจ็บ พฤติการณ์ของจำเลย จึงมีลักษณะเป็นการป้องกันสิทธิของตนและของผู้อื่น และป้องกันทรัพย์ของจำเลยให้พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีความผิด
- คำพิพากษาฎีกาที่ 253/2512 ผู้ตายได้บุกรุกเข้าไปในห้องนอน อันเป็นเคหสถานของจำเลยยามวิกาล อันเป็นการละเมิดกฎหมายทำให้จำเลยสำคัญผิดว่าผู้ตายเป็นขโมยหรือคนร้าย เข้าไปทำการประทุษร้ายต่อทรัพย์ หรือร่างกายภริยา จำเลยจึงใช้ดุ้นฟืนตีผู้ตายไป 1 ที การที่จำเลยใช้ดุ้นฟืน ซึ่งโดยสภาพไม่ใช่อาวุธร้ายแรงตีผู้ตายไปในขณะนั้นเพียงทีเดียวโดยไม่เจาะจง เป็นลักษณะที่กระทำพอสมควรแก่เหตุ ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ประกอบกับมาตรา 62 ด้วย จำเลยไม่มีความผิด
- คำพิพากษาฎีกาที่ 266/2514 ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้ตายกับจำเลยเคยมีสาเหตุกัน ผู้ตายเคยพกปืนและเคยทำท่าจะไล่ยิงจำเลย คืนเกิดเหตุ ผู้ตายเข้าใจว่าจำเลยแกล้งขว้างผู้ตาย ผู้ตายหันหลังกลับเข้าหาจำเลยในท่านั่งยองๆ ห่างกัน 2 วา พร้อมกับเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงทำท่าจะล้วงอะไรออกมา และพูดทำนองจะฆ่าจำเลย ทั้งตรงที่เกิดเหตุมีแสงสว่างเพียงสลัว ๆ และจำเลยก็อายุเพียง 17 ปี พฤติการณ์เช่นนี้ ย่อมมีเหตุอันสมควรให้จำเลยสำคัญผิดเข้าใจว่าผู้ตายมีปืน และล้วงลงไปเพื่อยิงจำเลย อันนับได้ว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยจึงชอบที่จะใช้สิทธิกระทำเพื่อป้องกันตนได้ และการที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายเพื่อป้องกันตนไปทันทีเพียง 1 นัด ย่อมถือได้ว่าเป็นการป้องกันชีวิตของตนพอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิด
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2716/2535 โจทก์ร่วมทั้งสองเดินผ่านสวนของจำเลย ไปทางหน้าบ้านจำเลยในเวลากลางคืน โดยไม่ได้ร้องบอกว่าขออาศัยเดินผ่าน เป็นเหตุให้จำเลยสำคัญผิด ว่าเป็นคนร้ายที่เข้ามาลักทรัพย์ จำเลยยิงโจทก์ร่วมทั้งสอง ขณะเดินห่างจากประตูรั้วหน้าบ้านไปแล้ว เป็นการป้องกันทรัพย์สิน โดยสำคัญผิด ซึ่งเกินสมควรแก่เหตุ และที่จำเลยยิงโจทก์ร่วมทั้งสอง ในระยะไกลประมาณ 35 เมตร กระสุนปืนถูกที่ขาด้านหลังทั้งสองข้างของโจทก์ร่วมที่ 1 แสดงว่าจำเลยเล็งยิงระดับต่ำ เพื่อให้ถูกเพียงขาของคนร้ายได้รับอันตรายแก่กายเท่านั้น มิได้เจตนาที่จะฆ่าให้ตาย จำเลยผิดเพียงฐานทำร้ายร่างกาย ตาม ป.อ. มาตรา 295 + มาตรา 62, 69
- การกระทำโดยสำคัญผิด ตามมาตรา 62 ว่ามีเหตุ ตามมาตรา 305 แพทย์ทำแท้ง ต้องใช้ มาตรา62 (อก/139)
- การกระทำโดยสำคัญผิดว่าผู้เสียหายยินยอม
- ความยินยอมในความผิดบางข้อหา ถือว่าขาดองค์ประกอบภายนอก เช่นข้อหา ข่มขืน ตามมาตรา 276 ผู้ใด ข่มขืนหญิงอื่น” หากมีการยินยอม ก็ไม่เป็นการข่มขืน ความสำคัญผิดในเรื่องยินยอมนี้ ถือว่าขาดองค์ประกอบภายนอก ซึ่งตามแนว อ เกียรติขจร ต้องปรับด้วยมาตรา 59 วรรคสาม
- ความยินยอมในความผิดบางข้อหา ไม่ขาดองค์ประกอบภายนอก แต่ถือว่าไม่มีเจตนากระทำผิด กรณี ม 362 / 358 / 350 / 334
- ความยินยอมอันบริสุทธิ์ ไม่ขัดศีลธรรม และมีอยู่จนถึงขณะกระทำ เป็นข้อยกเว้นให้ไม่เป็นความผิดได้” ฎ 1403/2508
- การกระทำโดยสำคัญผิด ตาม ม 62 ว่ามีอำนาจตามกฎหมายแพ่ง เช่น เสาของคนอื่นมาปักในที่ดินเรา รู้ว่าเป็นของคนอื่นแต่คิดว่ามีสิทธิถอนทิ้งได้ อ้าง มาตรา 62 วรรคแรก ไม่รับผิด แต่หากเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเสาของตนเอง ปรับ มาตรา 59 วรรค ขาดองค์ประกอบ ไม่ต้องรับผิด(อก/140)
- การกระทำโดยสำคัญผิด ตาม ม 62 ว่ามีอำนาจตาม ป.วิ.อาญา ม.57, 66, 78 เช่น จับโดยสำคัญผิดว่าเป็นผู้ร้าย แต่จับถูกต้องตามเจตนา ไม่ต้องอ้าง มาตรา 62 วรรค แต่หากจับผิดคน อ้าง มาตรา 62 วรรค แล้วพิจารณาเรื่องประมาทต่อไป แม้ไม่ผิด มาตรา 310 โดยอ้าง มาตรา 62วรรค ได้ ก็อาจผิด มาตรา 311 ตาม มาตรา 62 วรรค 2) (อก/140)
- การไม่รู้กฎหมายแพ่ง ถือเป็นการสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ตาม ม 62 ได้ (การไม่รู้กฎหมายอาญา ปรับ ม 64 (อก/144))
- ไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่เข้าใจโดยสุจริต ไม่ผิด ม.276, 284, 310 ฎ 142 430/2532 อาจผิด ม 310 ได้ แต่อ้าง ม 62 ได้
- บังคับชำระหนี้โดยตนเอง ไม่ได้ดำเนินการทางศาลเพื่อหักหนี้ หากไม่เกินจำนวนหนี้เท่ากับคิดว่าเป็นประโยชน์ที่ควรได้โดยชอบ ไม่ ทุจริต” แต่ อ เกียรติขจรเห็นว่าเป็น กรณี ม 62 ว 1สำคัญผิดเกี่ยวกับสิทธิทางกฎหมาย ฎ 2278/2515 ฎ 251/2513 (อก/144) อาจผิด ม 309ได้ ขู่เอาเงินที่ถูกเล่นพนันโกงคืน ฎ 1018/2529 (อก/145) เอาเครื่องสูบน้ำไป เพื่อให้จ่ายค่าแรง ราคาทรัพย์มากกว่าหนี้ ผิด ม 334 ฎ 2549/2532 (อก/146-7)
- จับลูกสาวไป ให้แม่โอนที่ดินชำระหนี้ ของแม่จำเลย โดยเชื่อว่าทำได้ ไม่ถือเป็นค่าไถ่ ไม่ผิด ม 313 ฎ 5255/2534 (อก/137)
- การป้องกันเกินกว่าเหตุ ตาม ม 69 โดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงตาม ม 62 เพราะประมาท ส่วนของเจตนารับผิด ม 288 + ม 69 + ม 62 ว 1 + ม 62 ว 2 / ส่วนของประมาท รับผิด ม 291 ปรับ ม 90ลง ม 288 + มาตรา 69 (อก/151 ฎ 872/2510)
- เรื่องขาดองค์ประกอบภายนอก ตาม ม 59 ว และสำคัญผิดตาม ม 62 ว และข้อสังเกต(อก/151-4)
- ประเด็นเปรียบเทียบ กรณีความสำคัญผิดเกิดขึ้นโดยประมาท แต่มีเหตุยกเว้นความผิด กับมีบรรเทาโทษ
- อ เกียรติขจร (เน 51/6/1) เห็นว่า การกระทำโดยประมาท ต้องไม่ใช่การกระทำโดยมีเจตนา เพราะตัวบทใช้คำว่า การกระทำโดยประมาท ได้แก่การกระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา ซึ่งกรณีนี้ “ความสำคัญผิดที่เกิดขึ้นก่อนการลงมือยิง” นั้น เป็นความสำคัญผิดโดยประมาท ต้องวินิจฉัยในประเด็นนี้ตาม ม 62 วรรคสองด้วย ส่วนตอนที่ “ลงมือยิง” นั้น เป็นการกระทำโดยเจตนา วินิจฉัยในประเด็นนี้ไปตามปกติ
- กรณีแรก เจตนาฆ่า โดยมีเหตุป้องกัน แต่เกินสมควรแก่เหตุ เกิดจากความประมาททำให้สำคัญผิด
- “เจตนา” เจตนาฆ่า โดยมีเหตุป้องกัน แต่เกินสมควรแก่เหตุ เกิดจากสำคัญผิด รับผิดมาตรา 59 ว 2 + 288 / 68 + 69 + 62 ว 1 (ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดเพียงใดก็ได้) ความสำคัญผิดเกิดจากประมาท พิจารณาเรื่องประมาทต่อ ตาม ม 62 ว 2
- “ประมาท” + ความตาย มาตรา 62 ว 2 + มาตรา 59 ว 4 + 291
- กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ปรับ มาตรา 90 รับผิดในส่วนของเจตนา มาตรา 59 ว 2 + 288 / 68 + 69
- กรณีที่สอง เจตนาฆ่า โดยมีเหตุป้องกันไม่เกินสมควรแก่เหตุ เกิดจากความประมาททำให้สำคัญผิด
- “เจตนา” เจตนาฆ่า โดยมีเหตุป้องกัน เกิดจากสำคัญผิด รับผิด มาตรา 59 ว 2 + 288 / 68 + 62 ว 1 (การกระทำส่วนนี้ ไม่มีความผิด) แต่ความสำคัญผิดเกิดจากประมาท พิจารณาเรื่องประมาทต่อ ตาม ม 62 ว 2
- “ประมาท” + ความตาย มาตรา 62 ว 2 + มาตรา 59 ว 4 + 291
- กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ปรับ มาตรา 90 รับผิดในส่วนของประมาท มาตรา 59 ว 4 + 291
- กรณีไม่น่าเชื่อว่าจำเลยจะสำคัญผิดในข้อเท็จจริง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1717/2543 จำเลยมีอาชีพรับราชการ ได้พบปะผู้คนมีประสบการณ์ในชีวิตพอสมควร พอประมาณการได้ว่าเด็ก หรือเยาวชนนั้นมีอายุประมาณเท่าใด จำเลยรู้จักกับผู้เสียหายมาก่อนเกิดเหตุเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 3 สัปดาห์ เพราะรับสอนผู้เสียหายขับรถยนต์ กรณีจะเป็นเรื่องสำคัญผิดในข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบของความผิดตาม ป.อ. มาตรา 62 วรรคแรก จะต้องมีพฤติการณ์หรือเหตุจูงใจให้สำคัญผิดโดยสุจริต มิใช่คาดคะเนเอาเอง ดังที่จำเลยเบิกความ เมื่อจำเลยกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตนโดยเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม มีความผิดตาม มาตรา 227 วรรคแรก และการที่จำเลยพาผู้เสียหายไปกระทำชำเราที่ห้องของโรงแรมที่เกิดเหตุ เป็นการล่วงอำนาจปกครองของมารดาผู้เสียหายโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร เป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาตาม มาตรา 317 วรรคสาม
- คำพิพากษาฎีกา มาตรา 62
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1074/2525 จำเลยได้รับใบอนุญาต ให้ก่อสร้างอาคารจากเทศบาลแล้ว เมื่อฝ่าฝืนต่อเติมอาคารผิดไปจากที่ได้รับอนุญาต จะอ้างความเข้าใจโดยสุจริตว่า พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฯ ยังไม่ได้ประกาศใช้ในเขตเทศบาลที่อนุญาต เพื่อไม่ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงตาม ป.อ.ม.62 ไม่ได้
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1199/2530 กรณีมีเหตุอันอาจทำให้เข้าใจว่ายุ้งข้าวที่จำเลยรื้อ เป็นของบิดามารดาจำเลย ทั้งปรากฏว่าจำเลยจัดการให้รื้อในเวลากลางวัน ต่อหน้าบุคคลหลายคน อันเป็นการกระทำโดยเปิดเผย เมื่อพนักงานสอบสวนไปถึงที่เกิดเหตุ จำเลยก็แสดงตัวยอมรับว่าเป็นผู้รื้อ โดยอ้างว่ายุ้งข้าวดังกล่าวเป็นของบิดามารดาจำเลยดังนี้ แสดงให้เห็นความบริสุทธิ์ใจของจำเลย ว่าจำเลยมิได้กระทำโดยทุจริต จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์
- คำพิพากษาฎีกาที่ 430/2532 จำเลยกับผู้เสียหายแต่งงานกันตามลัทธิศาสนาอิสลาม มีบุตรด้วยกัน 1 คน ต่อมา แยกกันอยู่ แต่มิได้หย่าขาดจากการ เป็นสามีภริยากัน การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปกักขัง เพื่อกระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเรา จึงอาจกระทำไป โดยเข้าใจว่าจำเลยมีสิทธิกระทำได้ อันเสมือนกับทำโดยวิสาสะ ย่อมไม่เข้าลักษณะกระทำ โดยมีเจตนาร้าย ไม่เป็นความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร หน่วงเหนี่ยวกักขัง และข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย
- มาตรา 62 วรรคท้าย
- คำพิพากษาฎีกาที่ 980/2519 แม้ผู้ที่ร่วมในการปล้น ไม่รู้ว่าพวกของตนมีอาวุธ ก็เป็นความผิดตามมาตรา 340 วรรคสอง (การมีอาวุธในการปล้น ถือเป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้ผู้กระทำผิดต้องรับโทษหนักขึ้นตาม ม 62 ว ท้าย ซึ่งหากจะต้องรับโทษหนักขึ้น ผู้กระทำต้องรู้ด้วย การรู้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง หากข้อเท็จจริงยุติว่า ไม่รู้ ก็ไม่น่าจะต้องรับโทษหนักขึ้น)
- ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า มาตรา 62
- (ขส เน 2517/ 5) วัยรุ่นเมาโห่ร้อง นายแม่นไม่ดูให้ดี คิดว่าพวกปล้น ยิง นัด ถึงตาย นายแม่น ผิดฐานฆ่าผู้อื่น แต่เป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ม 288 + 68 + 69 (+ ซึ่งเกิดจากการสำคัญผิด ตาม ม 62 ว 1) และผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาท ม 291 + 62 ว 2 (เนื่องจากความสำคัญผิด เกิดจากความประมาท ไม่ดูให้ดี จึงต้องรับผิดเมื่อการกระทำนั้น มีกฎหมายบัญญัติให้รับโทษ แม้กระทำโดยประมาท ตาม ม 62 ว 2 ) ฎ 872/2510 เป็นกรรมเดียว ม 90 ลงโทษ ม288 + 69
- (ขส อ 2522/ 9) นายศักดิ์ประกันตัวต่อศาลแล้ว ไปท้านายสม นายสมนำสำเนาหมายจับเดิมไปให้ตำรวจจับอีก ไม่ได้อยู่ในดุลพินิจของตำรวจ นายสมผิด ม 310 ฎ 2060/2521 / นายศักดิ์ท้าให้จับไม่ผิด ตำรวจจับตามหมายโดยสำคัญผิด ไม่ผิด ม 62
- (ขส อ 2530/ 5) ก จับ ข ลักทรัพย์ ส่งตำรวจ นาย ค คิดว่า ก เป็นตำรวจ เข้าช่วยให้ ข หลบหนี ก มีอำนาจจับตาม ปวิอ ม 79 ไม่ผิด ค ผิด ม 191+81 (อ เกียรติขจร ถือว่าขาดองค์ประกอบภายนอก แล้วไม่ผิดพยายาม)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

slide