วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556

อาญา มาตรา ๗๒

อาญา มาตรา ๗๒

มาตรา 72 ผู้ใด บันดาลโทสะ โดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
- สรุป หลักเกณฑ์ (อ เกียรติขจร คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1 ครั้งที่ 8 พ..2546 น 458)
1. ผู้กระทำผิดถูกข่มเหงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และการข่มเหงนั้นร้ายแรง (โดยเทียบกับความรู้สึกของบุคคลทั่วไปในภาวะเช่นนั้น)
- การกระทำอันเป็นการละเมิดกฎหมาย โดยทั่วไปถือเป็นการข่มเหงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม (แต่ร้ายแรงหรือไม่ เป็นอีกประเด็นหนึ่ง)
- ผู้ก่อเหตุ ถูกตอบโต้ จะอ้างว่าการตอบโต้นั้น เป็นการข่มเหงไม่ได้
- ผู้สมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้ ทำร้ายกัน จะอ้างว่าถูกข่มเหงไม่ได้
- การใช้อำนาจตามกฎหมาย ไม่ถือเป็นการข่มเหง
- ตำรวจจับโดยชอบ แม้ผู้ถูกจับไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา ก็ไม่ถือเป็นการข่มเหง
- ผู้กระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แล้วพลาดไปถูกบุคคลที่สาม ไม่ถือเป็นการข่มเหง บุคคลที่สามอ้างบันดาลโทสะ ต่อผู้กระทำเพื่อป้องกันไม่ได้ แต่บุคคลที่สามกระทำต่อผู้ก่อเหตุให้ต้องป้องกัน อาจอ้างบันดาลโทสะต่อผู้ก่อเหตุได้
2. การข่มเหงนั้น ทำให้ผู้กระทำผิด บันดาลโทสะ
- การพิจารณาว่าผู้กระทำบันดาลโทสะหรือไม่ พิจารณาจากจิตใจของผู้กระทำผิดนั้นเอง ไม่ใช่บุคคลทั่วไปในภาวะเช่นนั้น
- การบันดาลโทสะอาจเกิดจากความสำคัญผิดในข้อเท็จจริงก็ได้
3. ผู้กระทำผิด ได้กระทำต่อผู้ข่มเหง
- ผู้บันดาลโทสะฯ แล้วการกระทำพลาดไปถูกบุคคลที่สาม ใช้หลักเจตนาโอน อ้างเหตุบรรเทาโทษเพราะบันดาลโทสะ ต่อบุคคลผู้ได้รับผลร้ายจากการกระทำได้
- หากกระทำต่อผู้อื่นซึ่งไม่ใช่ผู้ก่อเหตุ อ้างบันดาลโทสะไม่ได้ เช่นกระทำทำต่อญาติของผู้ข่มเหง
- การกระทำต่อทรัพย์สินของผู้ข่มเหง อ้างเหตุบรรเทาโทษเพราะบันดาลโทสะได้
4. และได้กระทำในขณะบันดาลโทสะ
- การบันดาลโทสะ อาจเกิดขึ้นหลังจากการข่มเหงผ่านไปนานแล้วได้ เช่น เพิ่งทราบเหตุข่มเหงในภายหลัง
- หากขณะทราบเหตุข่มเหง ยังไม่บันดาลโทสะ เมื่อพ้นจากภาวะนั้นแล้ว จะกระทำผิดต่อผู้ข่มเหง โดยอ้างบันดาลโทสะในภายหลังไม่ได้
- ขณะกระทำผิด ผู้อ้างบันดาลโทสะ ยังมีโทสะอยู่หรือไม่ ต้องพิจารณาจากบุคคลทั่วไปในภาวะเช่นนั้น ว่าระยะเวลาที่ข่มเหง จนถึงระยะเวลากระทำผิด ผู้อ้างบันดาลโทสะ ยังมีโทสะอยู่หรือไม่
- อัตตะวิสัย” ดูว่าคนนั้นรู้สึกอย่างไร , “ภาวะวิสัย” ดูว่าคนทั่วไปในสถานะเช่นนั้นรู้สึกอย่างไร บันดาลโทสะใช้ประกอบกัน
- สมัครใจวิวาท อ้าง ม 68,72 ไม่ได้ รังแกภรรยา สามีอ้าง ม 72 ได้ เพื่อนสามีอ้างไม่ได้ (ดู ม 67-8 ด้วย) (เน 47/15/29)
- ขณะเกิดเหตุไม่โทสะ มาเกิดโทสะทีหลัง อ้างไม่ได้
- ทำต่อทรัพย์ของผู้ข่มเหงก็อ้าง มาตรา 72 ได้
- ต้องกระทำต่อผู้ข่มเหง ทำต่อญาติผู้ข่มเหงไม่ได้ แต่อาจเป็นพลาด
- วิธีตอบ ยิงคนข่มเหงแล้วพลาด ม 60 เกิดจากถูกข่มเหง ม 288+80+72 ตอบถึงดุลพินิจในการลงโทษด้วย

- มาตรา 72 การข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1818/2499 การที่ผู้ตายถือมีดพร้าขึ้นไปบนเรือน แสดงกริยาจะทำร้ายเขาโดยไม่มีเหตุสมควรเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นการข่มเหงเขาอย่างร้ายแรงโดยไม่เป็นธรรมตาม ม.55 / ในคดีอาญาเมื่อข้อเท็จจริงหรือข้อ ก.ปรากฎในท้องสำนวนแล้ว ถึงแม้จะไม่มีประเด็นในข้อเหล่านี้ขึ้นมาศาลก็ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยในทางที่เป็นประโยชน์แก่จำเลยได้เพราะเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย.
- คำพิพากษาฎีกาที่ 866/2502 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 เป็นคุณแก่จำเลยยิ่งกว่า กฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 55 Ø จำเลยที่ 2 เป็นผู้ก่อเหตุก่อน คือ เมาสุราเข้าไปในวงหมากรุกที่จำเลยที่ 1 กำลังเล่นอยู่ แล้วใช้เท้าปัดหรือกวาดตัวหมากรุกในกระดานต่อหน้าประชาชนคนที่ล้อมดูอยู่เป็นอันมาก การกระทำของจำเลยที่ 2 ย่อมเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามข่มเหงน้ำใจจำเลยที่ 1 “ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เพราะมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกันอยู่ Ø การกระทำโดยบันดาลโทสะที่จะได้รับความปราณีลดโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 จะต้องปรากฏว่า ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น การกระทำของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวข้างต้น เกิดในบริเวณวัดซึ่งกำลังมีงานเผาศพต่อหน้าประชาชนจำนวนไม่น้อย จำเลยที่ 1 ย่อมจะรู้สึกอับอายขายหน้าและแค้นเคืองเป็นอย่างมาก ย่อมถือได้ว่าเป็นการข่มเหงน้ำใจ อย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72แล้ว
- คำพิพากษาฎีกาที่ 689/2508 ผู้ตายพูดก้าวร้าวจำเลย ว่าได้เตะพ่อจำเลยแล้ว พูดยั่วจำเลยต่อไปว่า "กูแก่แล้ว ใครเตะพ่อกูละก็ต้องเคืองกัน" นายเที่ยงพูดห้ามผู้ตาย ๆ ด่านายเที่ยง และยิงปืนเข้าไปในระหว่างจำเลยกับนายเที่ยง แต่ไม่ถูกผู้ใด ผู้ตายใช้ปืนตีนายเที่ยง จำเลยร้องห้าม ผู้ตายหันมาหาจำเลยและใช้ปืนตีจำเลย จำเลยยิงปืนไป 1 นัด ไม่ถูกใคร ผู้ตายหันหลังเดินผละออกมาได้ 1 วา จำเลยก็ยิงผู้ตาย แสดงว่าจำเลยได้ยิงผู้ตาย เพราะบันดาลโทสะ โดยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม ตาม มาตรา 72
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1083/2508 ผู้ตายเป็นลูกเขย ได้เอาปืนของจำเลยซึ่งเป็นพ่อตามายิงเล่นจำเลยต่อว่า ผู้ตายโต้เถียง แล้วยิงปืนมาจากในเรือน 2 นัด นัดหลังไปโดนเสาไม้ซึ่งจำเลยนั่งแอบอยู่ สะเก็ดไม้กระเด็นไปถูกคิ้วจำเลยแตก จำเลยเข้าไปหยิบปืนในครัวมายิงผู้ตาย ขณะผู้ตายหันหลังลงบันไดเรือน นับได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมเป็นเหตุให้จำเลยบันดาลโทสะและการกระทำของจำเลยต่อเนื่องมาจากการที่จำเลยถูกยั่วโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1713/2511 จำเลยมีครรภ์กับผู้เสียหาย แล้วไปขอให้ผู้เสียหายสู่ขอผู้เสียหายกลับพูดว่า "มึงยอมให้กูเล่นมึงทำไม" จำเลยจึงทำร้ายผู้เสียหาย ดังนี้ถ้าว่าจำเลยทำไปโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม ตาม มาตรา 72
- คำพิพากษาฎีกาที่ 846/2512 จำเลยเป็นหญิง มีภาระต้องเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงน้องให้ได้รับการศึกษาขั้นมหาวิทยาลัยและส่งเงินเลี้ยงบิดามารดาจำเลยรักใคร่ได้เสียกับผู้ตายจนจำเลยตั้งครรภ์ ผู้ตายก็ตีตนออกห่างไม่ยอมพบ จำเลยโทรศัพท์ไปหลายครั้งก็ไม่ยอมพูดด้วย วันเกิดเหตุจำเลยได้ไปคอยพบผู้ตายและพูดเรื่องที่จำเลยมีครรภ์ ผู้ตายว่าบอกให้เอาออกก็ไม่เอาออก ผู้ตายไม่ยอมรับว่าเป็นพ่อเด็ก ทั้งยังว่าจำเลยว่าอยากหน้าด้านไปหาผู้ตายเอง และว่าพ่อแม่จำเลยไม่สั่งสอนให้ดี อันเป็นการดูถูกเหยียดหยามกดขี่ข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตาม มาตรา 72
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1883/2512 จำเลยมาพบเห็นผู้ตายกำลังกอดจูบภริยาตน จึงบันดาลโทสะเข้าแทงผู้ตายขณะนั้นทันที กรณีเช่นนี้ถือว่าจำเลยบันดาลโทสะ กระทำไปโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม
- คำพิพากษาฎีกาที่ 373/2513 จำเลยเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการแจกยา ผู้ตายเมาสุรากล่าวถ้อยคำหยาบคายต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในการนั้น จำเลยเข้าห้าม ก็ชกต่อยเอา จำเลยจึงต่อยตอบและใช้ปืนยิง ถือว่าจำเลยถูกยั่วโทสะ ตาม มาตรา 72
- คำพิพากษาฎีกาที่ 98/2514 ผู้ตายตบหน้าจำเลยก่อน ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยได้ใช้มีดแทงทำร้ายผู้ตายไปในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 249/2515 จำเลยเห็นผู้ตายกำลังชำเราภริยาจำเลยในห้องนอน แม้ภริยาจำเลยจะมิใช่ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็อยู่กินกันมา 13 ปี และเกิดบุตรด้วยกัน 6 คน จำเลยย่อมมีความรักและหวงแหน การที่จำเลยใช้มีดพับเล็กที่หามาได้ในทันทีทันใด แทงผู้ตาย 2 ที และแทงภริยา 1 ที ถือว่าจำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1556/2519 ส. ไม่รู้จักกับจำเลย มาซื้อสุราที่ร้านจำเลยดื่ม แล้วแย่งตะไกรซึ่งภริยาจำเลยกำลังตัดผมจำเลยอยู่ จะมาตัดให้เอง และขอเงินจำเลย กับอ้างว่าจำเลยไม่จ่ายเงินที่ ส. ถูกรางวัลสลากกินรวบที่ซื้อจากจำเลย ส. จับแขนภริยาจำเลย ล้วงกระเป๋าเสื้อ ขอเงินภริยาจำเลย จำเลยยิง ส. ตาย เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ศาลไม่ริบปืนของกลาง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1606/2521 พ่อตาด่าบุตรเขยถึงตระกูล บุตรเขยห้ามก็ไม่ฟัง ด่าแล้วด่าอีก บุตรเขยฟันพ่อตาตายในขณะนั้น เป็นบันดาลโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 3315/2522 ผู้ตายเมาสุรา เอาเท้าพาดหัวจำเลยลูบเล่น จำเลยจึงทำร้ายผู้ตาย เป็นความผิดตาม ม.290 และบันดาลโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2394/2526 จำเลยกับผู้ตายเป็นสามีภรรยามา 11 ปี มีบุตรด้วยกันผู้ตายไปทำเหมืองพลอย วันเกิดเหตุจำเลยไปหาผู้ตายที่เหมือง แอบดูเห็นผู้ตายกับผู้หญิงนอนเปลือยกายอยู่ในห้อง เมื่อเคาะประตู ผู้หญิงตะโกนว่า เคาะทำไม ย่อมก่อให้กระทบกระเทือนจิตใจอย่างมาก เมื่อผู้ตายเปิดประตูห้อง จำเลยใช้อาวุธปืนที่ติดตัวไปยิงผู้ตายในขณะนั้น เป็นการกระทำลงด้วยอารมณ์หึงหวง และโกรธแค้นควบคุมสติไม่ได้ และได้กระทำไปในขณะที่ยังไม่สามารถควบคุมสติและระงับอารมณ์โกรธได้ ถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงทางด้านจิตใจด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแล้ว จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ.ม.72
- คำพิพากษาฎีกาที่ 586/2527 การที่ผู้ตายด่าว่าจำเลยถึงโคตรพ่อโคตรแม่ ทั้งๆ ที่จำเลยเป็นผู้ให้ความอุปการะช่วยเหลือผู้ตายตลอดมา จนจำเลยระงับอารมณ์ไว้ไม่ได้ และใช้อาวุธปืนที่ติดตัวยิง 1นัด ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดไปโดยบันดาลโทสะตาม ม. 72 / จำเลยยิงผู้ตายขณะที่ผู้ตายนั่งอยู่ในรถยนต์ที่จำเลยขับขี่ แล้วจำเลยขับรถยนต์นำศพจากที่เกิดเหตุ และจากรถยนต์เข้าไปในโบสถ์ นำศพไปใส่ไว้ในกล่องกระดาษในลักษณะให้ศพนั่งคุดคู้อยู่ในกล่องนำกล่อง ไปเก็บไว้ในห้องเก็บหนังสือ แม้มิได้ใช้วัสดุอื่นปิดบังกล่อง เมื่อเปิดประตูห้องเก็บหนังสือก็สามารถเห็นกล่องได้ ก็เป็นการกระทำเพื่อที่จะปิดบังเหตุแห่งการตายของผู้ตาย จำเลยมีความผิดตาม ป..199
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2280/2527 จำเลยกับผู้ตายมีความสัมพันธ์ฉันสามีภริยา ผู้ตายเป็นคนโมโหร้ายจำเลยจะกลับไปเยี่ยมมารดา แต่ผู้ตายไม่ให้ไป และกล่าวหาจำเลยว่าจะไปมีชู้ ด่าว่าจำเลยพร้อมทั้งตบตี จำเลยใช้ปืนของผู้ตาย ยิงผู้ตายเพียงนัดเดียว เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ทั้งยิงผู้ตายในขณะนั้น
- คำพิพากษาฎีกาที่ 3235/2527 ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ที่เกิดเหตุมืดสลัว ผู้เสียหายเตะจำเลยก่อน จำเลยจึงฟันผู้เสียหายไป 1 ที แล้วมิได้ฟันซ้ำอีก ซึ่งลักษณะของขวานของกลางเป็นอาวุธที่หนักและมีคม ถ้าจำเลยเจตนาฆ่า ย่อมจะฟันแรง บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับ จึงไม่ฉกรรจ์ ประกอบกับผู้เสียหายกับจำเลยไม่มีเรื่องหมางใจกันมาก่อน ดังนี้จำเลยมีเจตนาทำร้ายไม่มีเจตนาฆ่า Ø การที่ผู้เสียหายเตะจำเลยก่อน ถูกอัณฑะโดยไม่มีเหตุผลใด ๆ เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยฟันผู้เสียหายไปในทันที ดังนี้ เป็นการกระทำเพราะบันดาลโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1905/2528 จำเลยเป็นอาจารย์ใหญ่ส่วนผู้เสียหายเป็นครูอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน ผู้เสียหายขอไปดื่มสุราที่บ้านจำเลยเพื่อจะเรียกร้องขอเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ ขณะที่ผู้เสียหายไปถึงบ้านจำเลยนั้นมีอาการเมาสุรามากแล้ว ครั้นจำเลยปฏิเสธการขอเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ ผู้เสียหายก็แสดงอาการไม่พอใจทุบแก้วและขวดสุรา อันเป็นการก้าวร้าวจำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา เมื่อจำเลยวิ่งหนี ผู้เสียหายก็วิ่งตามโดยถือคอขวดที่ทุบแตกซึ่งสามารถใช้เป็นอาวุธได้ในสภาพเช่นนั้น และยังเข้าโยกราวบันไดอันเป็นการพยายามทำให้เสียทรัพย์ แล้วกล่าวแก่จำเลยว่า "มึงจะหนีไปไหน"ซึ่งเป็นกิริยาที่พออนุมานได้ว่าผู้เสียหายจะประทุษร้ายจำเลย โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พูดหรือแสดงกิริยาอะไรที่เป็นการโต้ตอบที่จะเข้าวิวาทกับผู้เสียหาย ดังนี้ เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยคว้าอาวุธปืนมายิงผู้เสียหายในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. ม.72
- คำพิพากษาฎีกาที่ 3318/2528 ผู้ตายมาร้องเรียกให้จำเลยออกมา จำเลยเดินออกมาที่ชานบ้าน ผู้ตายเดินมาถึงหน้าบันไดพูดว่า จะจัดการกับจำเลย จำเลยพูดว่า จะจัดการอะไรไม่เคยทำอะไรผิด ผู้ตายพูดว่ากูต้องเอามึงแน่ จำเลยยกมือไหว้ พูดว่าไม่สู้พี่หรอก ผู้ตายก็วิ่งขึ้นบันไดตรงเข้าชกต่อยจำเลย จำเลยจึงล้วงมีดพกปลายแหลมจากกระเป๋ากางเกงแทงผู้ตาย 1 ที ถูกที่ลำคอ ผู้ตายเดินเซลงบันไดไป จำเลยวิ่งตามไปแทงอีก 2 - 3 ครั้ง จำเลยกระทำเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำผิดโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. ม.72 มีความผิดตาม ม.288, 72 (น่าจะอ้างป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็นต้องป้องกันได้ )
- คำพิพากษาฎีกาที่ 4408/2530 ส.อายุ 19 ปี ยังอยู่ในความปกครองของจำเลย และอยู่ร่วมบ้านเดียวกับจำเลยผู้เป็นบิดา ผู้ตายมีโจทก์เป็นภริยาอยู่แล้ว มารักใคร่ชอบพอถึงขั้นได้เสียกับ ส. จน ส. ตั้งครรภ์ต้องไปทำแท้ง ต่อมามีเรื่องทะเลาะวิวาทระหว่างโจทก์กับ ส. จนจำเลยห้ามผู้ตายไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับ ส.อีก แต่ผู้ตายไม่เชื่อฟังกลับลักลอบมาหลับนอนกับ ส. ขณะที่จำเลยไม่อยู่บ้าน เป็นการกระทำที่หยาบเหยียดปราศจากความยำเกรงจำเลยผู้เป็นบิดา ผู้ใช้อำนาจปกครอง การที่ในคืนเกิดเหตุ ผู้ตายได้ขึ้นไปหลับนอนกับ ส.บนบ้านจำเลย ย่อมเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ที่จำเลยยิงผู้ตายไปในขณะนั้นย่อมถือได้ว่าจำเลยกระทำผิดเพราะบันดาลโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 5189/2531 ผู้ตายกับภรรยาซึ่งเป็นบุตรสาวจำเลยทะเลาะกันอยู่ในห้องนอนและมีเสียงร้องดัง จำเลยจึงเปิดประตูห้องเข้าไปดูเพื่อระงับเหตุ เห็นผู้ตายกำลังนั่งคร่อมทับ เอามือจับที่คอภรรยาอยู่ จำเลยเดินเข้าไปกระชากไหล่ผู้ตายออกจากภรรยา ผู้ตายลุกขึ้นชกจำเลย 1 ทีแต่จำเลยหลบทัน แล้วจำเลยคว้าอาวุธปืนลูกซองยาว ซึ่งอยู่ในห้องนอนนั้นยิงผู้ตายไป 1 นัดถึงแก่ความตาย ดังนี้ การที่จำเลยเข้าไประงับเหตุ ระหว่างผู้ตายกับภรรยา แต่กลับถูกผู้ตายซึ่งเป็นบุตรเขยชกทำร้ายเอานั้น นับได้ว่าผู้ตายได้กระทำการอันไม่สมควรและโดยปราศจากความเคารพยำเกรงต่อจำเลย ผู้เป็นพ่อตาซึ่งมีอายุมากแล้ว เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรง และด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ในขณะนั้นจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 6671/2531 ผู้ตายและจำเลยเป็นสามีภรรยากัน ก่อนเกิดเหตุผู้ตายด่าโคตรพ่อโคตรแม่จำเลย ว่าจำเลยเป็นกะหรี่ บุคคลผู้ต่ำต้อยยากจน ไล่จำเลยออกจากบ้าน และใช้ไม้ขว้างจำเลย การที่ผู้ตายด่าว่าจำเลยในลักษณะดูถูกเหยียดหยาม ทั้งด่าไปถึงบุพการีของจำเลย และใช้ไม้ขว้างแสดงกิริยาคุกคามทำร้ายจำเลยเช่นนั้น ย่อมทำให้จำเลยรู้สึกแค้นเคืองเป็นอย่างมาก เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1231/2533 การที่ผู้ตายเมาสุราและได้บังคับขู่เข็ญโดยใช้มือผลักอกจำเลยหลายครั้ง เพื่อให้จำเลยไปดื่มสุราด้วย และท้าทายให้ยิงกัน พร้อมกับทำท่าล้วงอาวุธปืน เมื่อจำเลยวิ่งหนี ผู้ตายยังวิ่งไล่ตามไปอีก จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงทันที ถือได้ว่าจำเลยกระทำไปเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตาม มาตรา 72
- คำพิพากษาฎีกาที่ 4758/2533 ผู้เสียหายและจำเลยกับพวกนั่งดื่มสุรากันที่บ้านพักจำเลย ต่อมาผู้เสียหายเรียกจำเลยให้ลงไปพูดกัน จำเลยไม่ลง ผู้เสียหายดึงมือจำเลยหลายครั้ง จนจำเลยตกจากที่นั่ง แล้วจำเลยเดินหนีเข้าไปในห้องนอนของจำเลย ผู้เสียหายเดินตามจำเลยเข้าไปในห้องกระชากมือจำเลยออกมา เช่นนี้ ผู้เสียหายเป็นผู้ก่อเหตุ กรณีถือได้ว่าจำเลยถูกผู้เสียหายข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการที่จำเลยใช้เหล็กตะไบสามเหลี่ยม แทงผู้เสียหายที่บริเวณหน้าท้อง 2 ครั้ง ขณะที่ผู้เสียหายเข้าไปกระชากมือหรือจับบ่าของจำเลยดึงออกมานอกห้อง จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 5495/2534 ผู้ตายเมาสุรา กล่าววาจาล่วงเกินจำเลย และด่าแม่จำเลย ผู้ตายพูดจาถากถางซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง จำเลยจะกลับ ก็ไม่ยอมให้กลับ พฤติการณ์เหล่านี้ เห็นได้ว่าผู้ตายกล่าววาจา และกระทำการอันเป็นการดูถูกเหยียดหยาม เป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จนจำเลยบันดาลโทสะ จึงไปหยิบค้อนมาตีผู้ตายในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 455/2537 เมื่อผู้ตายยกอาวุธปืนเล็งมายังจำเลย จำเลยได้เข้าแย่งอาวุธปืนจากผู้ตาย ทำให้มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด ผู้ตายจึงได้หักลำกล้องปืนและบรรจุกระสุนใหม่ จำเลยได้เข้าแย่งอาวุธปืนอีก เป็นเหตุให้ปืนลั่นอีก 1 นัด และอาวุธปืนได้หลุดจากมือผู้ตาย ถือว่าภยันตรายที่จำเลยต้องป้องกันได้ผ่านพ้นไป ไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึงอันจะต้องป้องกันอีก การที่จำเลยใช้มีดโต้ฟันผู้ตายในขณะนั้น จึงไม่อาจเป็นการกระทำโดยป้องกันได้ แต่การกระทำของผู้ตายถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยฟันผู้ตาย จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2958/2540 แม้ผู้ตายกับจำเลยจะเคยเป็นสามีภริยากันแต่ก็ได้หย่าขาดกันแล้ว ผู้ตายไม่มีความชอบธรรมที่พาพวกมารื้อบ้านจำเลย ถือได้ว่าผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุเมื่อจำเลยห้ามปรามกลับถูกผู้ตายด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ทั้งสภาพบ้านของจำเลยที่ถูกผู้ตายกับพวกรื้อเอาไม้กระดานและฝาบ้านออกจากตัวบ้าน จนไม่อยู่ในสภาพจะใช้อยู่อาศัยได้ การกระทำของผู้ตายดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เหลือวิสัยที่จำเลยจะอดกลั้นโทสะไว้ได้ จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในทันที การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำผิดโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 72
- คำพิพากษาฎีกาที่ 6558/2540 ผู้เสียหายอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยมาก่อนแล้ว ต่อมาได้หญิงอื่นเป็นภริยาและไปอยู่กับหญิงนั้น จำเลยขอให้ไปพบ ผู้เสียหายไม่ยอมไป ในวันเกิดเหตุจำเลยพบผู้เสียหายอยู่กับหญิงอื่น โดยนุ่งผ้าขนหนูเพียงผืนเดียวออกมาบอกว่าจะเลิกกับจำเลย และไล่ให้กลับบ้าน ทั้งยังตบหน้าอีก ย่อมเป็นการข่มเหงน้ำใจจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยยิงผู้เสียหายไปในทันทีในระยะเวลาต่อเนื่องที่ยังมีโทสะอยู่ ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยมีเหตุบันดาลโทสะตาม ป.อ.มาตรา 72
- คำพิพากษาฎีกาที่ 6980/2540 จำเลยรักใคร่ให้การอุปการะเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่ผู้เสียหาย ในฐานะที่จำเลยเป็นมารดาอย่างดี จนสำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรี ระหว่างศึกษา ผู้เสียหายมีท้องไม่มีพ่อ เมื่อคลอดบุตรแล้วก็นำมาให้จำเลยเลี้ยง เมื่อผู้เสียหายสำเร็จการศึกษา และเข้ารับราชการครู ได้สมรสกับ ถ. แต่อยู่กินกันได้เพียง 1 เดือนก็ถูก ถ.ฟ้องหย่า ต่อมาผู้เสียหายลักลอบได้เสียกับโจทก์ร่วม และจะนำโจทก์ร่วมเข้ามาอยู่ในบ้าน จำเลยไม่ยอม ผู้เสียหายได้ขโมยไม้บางส่วน ซึ่งเก็บไว้ที่บ้านจำเลยไปสร้างบ้านด้วย จำเลยบอกให้รื้อถอนออกไป ผู้เสียหายกลับโต้แย้งสิทธิว่ายกให้ โดยไม่เป็นความจริง เห็นได้ว่าผู้เสียหายได้สร้างความชอกช้ำระกำใจอับอายขายหน้าให้จำเลยผู้เป็นมารดามาโดยตลอด ประกอบกับผู้เสียหายบุกรุกเข้ามาสร้างบ้านในที่ดินของจำเลย แล้วโต้เถียงสิทธิไม่ยอมออกไป ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยวางเพลิงเผาโรงเรือนดังกล่าวของผู้เสียหายและโจทก์ร่วม จึงเป็นการกระทำผิดโดยบันดาลโทสะ ตาม ป.อ. มาตรา 72
- คำพิพากษาฎีกาที่ 6988/2542 จำเลยเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย มีบุตรด้วยกัน 1 คน แต่ผู้ตายคงประพฤติตนเป็นคนเจ้าชู้ มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่นอีกหลายคน และกำลังจะเข้าพิธีแต่งงานกับ ท.ซึ่งทำงานอยู่ที่เดียวกับผู้ตาย โดยจะออกบัตรเชิญแขกไปร่วมพิธีแต่งงานด้วย โรงงานที่ผู้ตายและ ท. ทำงานอยู่ห่างจากที่พักของจำเลยประมาณ 500 เมตร คนงานในโรงงานย่อมทราบดี ว่าจำเลยเป็นภริยาของผู้ตาย การกระทำดังกล่าวของผู้ตายย่อมทำให้จำเลยได้รับความอับอายมาก ก่อนเกิดเหตุผู้ตายไม่กลับบ้านหลายวัน เพราะไปอยู่กับ ท. จำเลยตามผู้ตายให้กลับบ้าน ผู้ตายยอมกลับบ้าน แต่เมื่อจำเลยขอร้องผู้ตาย ว่าผู้ตายจะมีความสัมพันธ์กับ ท. ต่อไป จำเลยไม่ว่า แต่ขอร้องไม่ให้ผู้ตายแต่งงานกับ ท. ผู้ตายปฏิเสธการกระทำดังกล่าวของผู้ตาย จึงเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมต่อจำเลยซึ่งเป็นภริยา การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายในทันทีเพียง 1 นัด จึงเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะต่อผู้ตายซึ่งเป็นผู้ข่มเหงจำเลยในขณะที่ถูกข่มเหงตาม ป.อ.มาตรา 72
- มาตรา 72 กรณีไม่ถึงขั้นเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงฯ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 425/2512 เพื่อนของผู้ตายกับเพื่อนของจำเลยจะต่อยกัน จำเลยเข้าไปถีบเพื่อนผู้ตาย เพื่อช่วยเหลือเพื่อนของจำเลย ผู้ตายจึงเตะจำเลย เพื่อช่วยเหลือเพื่อนของผู้ตาย ดังนี้ จะถือว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจากผู้ตายไม่ได้ เพราะจำเลยทำร้ายเพื่อนผู้ตายก่อน ความผิดของจำเลยจึงไม่ใช่เป็นการกระทำ โดยบันดาลโทสะตาม มาตรา 72
- คำพิพากษาฎีกาที่ 478/2529 จำเลยเข้าไปรับประทานอาหารและดื่มสุรา ในบาร์ที่ผู้เสียหายเป็นรองผู้จัดการและเกิดโต้เถียงกับผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายท้าทายว่านักข่าวก็ตายได้เหมือนกัน นักข่าวกระจอก นักข่าวกิ๊กก๊อก ดังนี้ ยังไม่ได้ถือว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหาย จึงไม่ใช่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ตาม ป.อ.ม.72 จึงมีความผิดตาม ม.288,80
- คำพิพากษาฎีกาที่ 3874/2529 จำเลยกับผู้ตายเป็นสามีภรรยากัน มีบุตรด้วยกันมีปากเสียงทะเลาะกันเสมอ การที่ผู้ตายบ่นว่าจำเลย กล่าวหาว่าจำเลยพาชายชู้มานอนที่เตียงนอน และไล่ออกจากบ้าน ทั้งขู่ว่าหากไม่ไปจะฆ่านั้นเป็นเรื่องสามีภรรยา เป็นปากเสียงทะเลาะกันตามปกติที่เคยเป็นมา จะถือว่าจำเลยถูกกดขี่ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมได้ไม่ จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตาย จึงไม่ใช่เพราะเหตุบันดาลโทสะ แต่เพราะเหตุโกรธเคืองที่ผู้ตายด่า
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1720/2530 ผู้ตายสั่งลงโทษจำเลยผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เพราะจำเลยทิ้งหน้าที่จำเลยไม่พอใจพูดต่อว่า และท้าทายผู้ตายให้ตั้งกรรมการสอบสวนผู้ตายตอบว่าตั้งก็ตั้ง แล้วหยิบกระดาษกับปากกาขึ้นมา จำเลยไม่พอใจ ชักปืนยิงผู้ตาย ผู้ตายมิได้แสดงกิริยาหรือกระทำการใด ๆ ในลักษณะข่มเหงจำเลย ที่ผู้ตายสั่งลงโทษจำเลยเป็นการกระทำตามหน้าที่โดยชอบ และโทษที่ลงก็เป็นสถานเบาที่สุดแล้ว จำเลยจะอ้างว่าการกระทำโดยบันดาลโทสะ โดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหาได้ไม่
- คำพิพากษาฎีกาที่ 6535/2531 จำเลยที่ 1 ด่าโจทก์ร่วมที่ 2 ว่าเป็นไพร่ เอาเรื่องไม่จริงมาพูด โจทก์ร่วมที่ 2 ตอบว่าไม่ได้พูด และกล่าวว่าจำเลยที่ 1 ใส่ร้ายจำเลยที่ 1 จึงตบหน้าโจทก์ร่วมที่ 2 ดังนี้ การที่โจทก์ร่วมที่ 2 กล่าวถ้อยคำดังกล่าว เป็นเพียงการปฏิเสธเรื่องที่จำเลยที่ 1 สอบถามเท่านั้น แม้โจทก์ร่วมที่ 2 จะใช้ถ้อยคำไม่เหมาะสมแก่จำเลยที่ 1 อยู่บ้าง ก็เพราะจำเลยที่ 1 ได้ด่าว่าโจทก์ร่วมที่ 2 ก่อน กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
- คำพิพากษาฎีกาที่ 3759/2532 จำเลยที่ 1 โกรธที่ ก.ภริยาไม่ยอมกลับบ้านและจำเลยที่ 2 น้องของ ก. ห้ามปรามกีดกัน จึงก่อเหตุร้องท้าทายและเป็นฝ่ายยิงปืนเข้าไปในบริเวณบ้านจำเลยที่ 2 ซึ่ง ก. กับจำเลยที่ 2 ยืนอยู่ก่อน กระสุนปืนถูกจำเลยที่ 2 ได้รับบาดเจ็บ จำเลยที่ 2 จึงวิ่งเข้าไปในบ้านเอาปืนมายิงต่อสู้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการป้องกันตัว และไม่ใช่การกระทำความผิดเพราะเหตุบันดาลโทสะ เพราะไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ถูกข่มเหงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด
- คำพิพากษาฎีกาที่ 3442/2535 จำเลยใช้จอบซึ่งมีใบจอบยาว 8 นิ้ว กว้างฝ่ามือเศษ ด้ามยาว 1 เมตรเศษ ซึ่งเป็นอาวุธอันตรายฟันผู้เสียหายอย่างแรง จนเป็นเหตุให้แขนซ้ายหักเป็นอันตรายแก่รายสาหัส ไม่มีเหตุที่ควรรอการลงโทษ ผู้เสียหายได้ชี้หน้าด่าจำเลยว่า "ไอ้สัตว์ ไอ้หน้าหัวควย มึงมาเดินบนถนนกูทำไม กูบอกหลายครั้งแล้ว" ทั้งภรรยาผู้เสียหายก็ด่าจำเลยว่า "หน้ามึงหน้าด้าน หน้าเหมือนส้นตีน" คำด่าว่าของผู้เสียหายและภรรยาดังกล่าวนี้เป็นคำหยาบคายเท่านั้น ไม่เป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จำเลยโกรธแค้นจึงทำร้ายผู้เสียหาย ไม่ใช่การบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 72
- คำพิพากษาฎีกาที่ 795/2542 เหตุเกิดเพียงเพราะ จ. กล่าวหา ส. ว่าไปร่วมหลับนอนกับผู้เสียหาย แต่บุคคลทั้งสองก็ปฏิเสธ แม้อาจทำให้จำเลยซึ่งเป็นสามี ส. โกรธเคืองบ้างจึงได้ทำร้าย ส. แต่ก็ไม่พอจะถือว่าถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย ขณะจะเข้าไปห้ามมิให้จำเลยทำร้าย ส. จึงไม่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ แต่จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
- คำพิพากษาฎีกาที่ 3887/2542 พฤติการณ์ที่จำเลยมาทวงเงินค่าจ้างที่ค้างจากผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้าง แล้วถูกผัดชำระอยู่หลายครั้ง โดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้กระทำการอื่นใดต่อจำเลยอีก เพียงเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกผู้เสียหายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยจะอ้างเหตุบันดาลโทสะเป็นประโยชน์แก่คดีของตนหาได้ไม่
- คำพิพากษาฎีกาที่ 4586/2543 ผู้ตายโกรธจำเลยและด่าจำเลยด้วยถ้อยคำหยาบคาย แม้จะทำให้จำเลยมีความอับอายต่อหน้าบุคคลอื่นที่อยู่ในร้านอาหารที่เกิดเหตุขณะนั้นได้ แต่ก็เป็นเพียงถ้อยคำที่หยาบคายตามปกติ ที่ไม่สมควรจะกล่าวออกมาเท่านั้น เมื่อผู้ตายด่าว่าจำเลยแล้ว ก็ลุกออกเดินจะไปที่รถยนต์ โดยไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้กระทำใด ๆ อันเป็นการคุกคามต่อความปลอดภัยในร่างกาย หรือทรัพย์สินของจำเลยอีก ถือไม่ได้ว่าได้กระทำการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยใช้อาวุธปืนเล็กกล ยิงผู้ตาย เป็นการกระทำไปด้วยความโกรธขาดสติ ไม่อาจอ้างได้ว่าฆ่าผู้ตายโดยเหตุบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 72
- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5714/2548 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288, 33 ริบของกลาง จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา288 จำคุก 15 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตาม ป.อ. มาตรา 78 คงจำคุก ปี เดือน ริบของกลาง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยอยู่กินฉันสามีภริยากับนางภูวรรณ นางภูวรรณทำงานที่บริษัทที่เกิดเหตุซึ่งนายทักษิณ ผู้ตายทำงานอยู่และสนิทสนมกับผู้ตายในทำนองชู้สาว จำเลยจึงไปทำงานที่กรุงเทพมหานคร ต่อมาจำเลยทราบว่านางภูวรรณได้ไปอยู่กินกับผู้ตาย จำเลยจึงไปขอคืนดีกับนางภูวรรณ แต่นางภูวรรณไม่ยอม จากนั้นในเวลาประมาณ 12 นาฬิกา จำเลยได้ไปหาผู้ตายที่บริษัทที่เกิดเหตุโดยพกพามีดปลายแหลมติดตัวไปด้วย เมื่อจำเลยเข้าไปในบริเวณบริษัทดังกล่าวพบผู้ตาย จำเลยจึงถามผู้ตายว่า "มึงเล่นชู้กับเมียกูทำไม" ผู้ตายตอบว่า "มึงไม่มีน้ำยากูเลยเล่น" ทำให้จำเลยโมโหจึงชักมีดออกมาเกิดต่อสู้กันและจำเลยใช้มีดแทงผู้ตาย แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ว่าผู้ตายได้พูดถ้อยคำดังกล่าวจริง แต่จำเลยเป็นฝ่ายไปหาผู้ตายที่ทำงานของผู้ตายและจำเลยเป็นฝ่ายถามผู้ตายถึงเรื่องชู้สาวดังกล่าวขึ้นก่อนมิใช่ว่าผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุ ที่ผู้ตายพูดว่ามึงไม่มีน้ำยากูเลยเล่นนั้น ก็เป็นการที่ผู้ตายพูดตอบจำเลย แม้จะพูดในทำนองยั่วยุ แต่ไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างรุนแรง ทั้งไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้พูดต่อหน้าผู้อื่นที่จะทำให้จำเลยได้รับความอับอายขายหน้าผู้อื่น จึงไม่น่าทำให้จำเลยเกิดโทสะถึงกับต้องฆ่าผู้ตาย ตามรูปการณ์มูลเหตุที่จูงใจให้จำเลยกระทำความผิดน่าจะเกิดจากความเจ็บแค้นใจที่มีอยู่เดิม เช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยบันดาลโทสะ
- มาตรา 72 ประเด็นเปรียบเทียบ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
- ฎ 241/2478 ทำร้ายบุตร ถือว่าข่มเหงบิดา
- ฎ 739/2482 ทำร้ายน้า ถือว่าข่มเหงหลาน
- ฎ 1577/2497 ทำร้ายพี่ ถือว่าข่มเหงน้อง
- ฎ 1446/2498 ทำร้ายพ่อตา ถือว่าข่มเหงบุตรเขย
- ฎ 518/2500 ทำร้ายบิดา ถือว่าข่มเหงบุตร
- ฎ 863/2502 ทำอนาจารภรรยา ถือว่าข่มเหงสามี แต่ไม่ถือว่าข่มเหง "เพื่อนสามี" (เพื่อนสามีร่วมทำร้ายคนทำอนาจาร อ้าง ม 72 ไม่ได้ เพราะเป็นเหตุส่วนตัว)
- ฎ 2770/2544 พูดด่าว่ามารดาที่ตายไปแล้วต่อหน้าบุตร ถือว่าข่มเหงบุตรโดยตรง
- คำพิพากษาฎีกาที่ 241/2478 ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกับผู้ตายไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาแต่ก่อน ในวันเกิดเหตุ ก.บุตรีจำเลยมาบอกว่าจำเลยว่า ผู้ตายเอาสร้อยไปและกอดคอจับนมตนทั้งผู้ตายยังได้หักตันทุเรียนของจำเลยด้วย จำเลยโกรธจึงชวนพวกที่นั่งกินอาหารด้วยกันไปดูต้นทุเรียน แล้วกลับมาบนเรือนเอาปืนและชวนพวกไปด้วย ไปที่เรือนผู้ตายแลเห็นผู้ตายเดินมาจำเลยจึงพูดว่ามึงกับกู วันนี้ฆ่ากันเสียทีเถอะ แล้วจำเลยก็ยิงถูกผู้ตายล้มลง แล้วจำเลยก็ไปหานายอำเภอบอกว่าตนได้ยิงผู้ตายตายเสียแล้ว เพราะผู้ตายหักต้นทุเรียนแลลักทรัพย์ ส่วนข้อที่จำเลยกอดคอและจับนมบุตรสาวจำเลยนั้น จำเลยไม่ได้แจ้งต่อนายอำเภอ แต่ตามทางพิจารณาจำเลยสืบได้ความชัดดังกล่าวแล้ว / ศาลฎีกาตัดสินว่าจำเลยมีผิดตามมาตรา 249 จำคุก 20 ปี ลดกึ่งตามมาตรา 55 คงเหลือ 10 ปี แลให้ลดตามมาตรา 59 อีกกึ่งหนึ่ง คงให้จำคุกจำเลย 5 ปี
- คำพิพากษาฎีกาที่ 739/2482 ศาลฎีกาตัดสินว่า การยั่วโทษะนั้นเมื่อมีพฤตติการณ์พอถือได้ว่าจำเลยถูกกดขี่ข่มเหงหรือถูกยั่วโทษะแล้ว ก็ย่อมนำมาบังคับได้ ตามคดีนี้ปรากฎว่าน้าชายของจำเลยถูกข่งเหงอย่างร้ายแรงโดยไม่เป็นธรรม จำเลยกระทำผิดไปย่อมเรียกได้ว่าเป็นการถูกยั่วโทษะแล้ว พิพากษายืนตามศาลล่างทั้ง 2 ยกฎีกาโจทก์
- คำพิพากษาฎีกาที่ 518/2500 ข. กล่าวเสียดสีไล่จำเลยออกจากวัดต่อหน้าชุมนุมชน และยิงบิดาจำเลยโดยจำเลยไม่ได้วิวาทด้วย จำเลยยิง ข. ตาย เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 863/2502 นายสอจำเลยกับนายสุวรรณจำเลยเป็นเพียงเพื่อนสนิทกัน การที่นางเกษภรรยานายสุวรรณจำเลยถูกข่มเหงรังแก ย่อมเป็นการข่มเหงนายสุวรรณผู้สามีด้วย เป็นเหตุผลเกี่ยวกับตัวบุคคล หาใช่ลักษณะคดีไม่ แม้จำเลยทั้งสองจะทำผิดร่วมกัน ก็จะปรับบทลงโทษนายสอจำเลยตาม มาตรา 72 คือ เหตุลดโทษ เพราะบันดาลโทสะด้วยหาได้ไม่
- คำพิพากษาฎีกาที่ 3976/2543 ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายชกต่อยทำร้ายจำเลยที่ชั้นสองของตึกแถว แล้ววิ่งขึ้นไปที่ห้องพักผู้เสียหายที่ชั้นสามจำเลยตามผู้เสียหายขึ้นไปเพื่อจะทำร้ายผู้เสียหายเมื่อเห็นผู้เสียหายยืนอยู่ตรงทางเข้าห้องพักผู้เสียหาย จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัดถูกที่บริเวณหน้าท้อง ดังนี้แม้ผู้เสียหายจะเป็นฝ่ายก่อเหตุทำร้ายจำเลยก่อน แต่ขณะจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย ผู้เสียหายไม่ได้จะเข้าทำร้ายจำเลย และที่ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยที่ชั้นสองก็ไม่ใช่ภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านพ้นไปแล้ว จำเลยจึงอ้างว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายไม่ได้ แต่การที่ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นสาม จำเลยตามขึ้นไป แล้วใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดกับที่จำเลยยังมีโทสะอยู่ เป็นการกระทำเนื่องจากถูกผู้เสียหายข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าโดยบันดาลโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2770/2544 ผู้เสียหายตะโกนด่าถึงมารดาจำเลยว่ามารดาจำเลยเป็นโสเภณีและถึงแก่กรรมด้วยโรคเอดส์ เป็นการกล่าวหาว่ามารดาจำเลยสำส่อนทางเพศถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยตบหน้าผู้เสียหาย 2 ครั้ง ในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย โดยใช้มือตบหน้า 2 ครั้ง ส่วนการที่กระดูกต้นแขนซ้ายของผู้เสียหายหักอาจเกิดจากผู้เสียหายวิ่งล้มลง มิได้เกิดจากจำเลยใช้ไม้ตีผู้เสียหายดังที่โจทก์ฟ้องเมื่อไม่ปรากฎว่าผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของจำเลยดังกล่าวมากน้อยเพียงใด จึงฟังได้เพียงว่าการกระทำของจำเลยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ผู้เสียหายเกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจเป็นความผิดตาม ป.มาตรา 391 ซึ่งศาลฎีกาลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความนี้ได้ ตาม ป.วิ.มาตรา 192 วรรคท้ายประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225
- มาตรา 72 การอ้างเหตุบรรดาโทสะ อ้างได้เฉพาะกระทำต่อผู้ที่ข่มเหง
- ฎ 252/2528 จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายก่อเหตุก่อนผู้ตายกับพวกเล่นการพนัน แล้วทะเลาะกันส่งเสียงดังในยามวิกาล จำเลยซึ่งอยู่บ้านใกล้ชิดติดกันย่อมมีความชอบธรรมที่จะไปขอร้องให้เบา ๆ ลง หรือเลิกเล่นการพนัน แต่ผู้ตายกลับด่าว่าจำเลยแล้วเกิดชกต่อยกัน เมื่อมีคนมาห้ามและจำเลยกับผู้ตายยุติกันไปแล้ว แต่ผู้ตายหาได้หยุดยั้งเพียงแค่นั้น ไม่กลับเข้าไปในบ้านหยิบขวดมาตีศีรษะจำเลย จนโลหิตไหล ฉะนั้นการที่จำเลยไปหยิบปืนในบ้านออกมายิงผู้ตาย จึงเป็นการบันดาลโทสะ แต่ที่จำเลยยิง ว. และ ศ. ด้วย แม้คนทั้งสองจะเป็นบุตรภริยาของผู้ตาย และอยู่บ้านเดียวกับผู้ตายก็ตาม แต่คนทั้งสองก็มิได้ร่วมทำร้ายจำเลยด้วย การที่จำเลยยิง ว. และ ศ.ถึงแก่ความตายในขณะนั้น เป็นแต่เพียงจำเลยกระทำไปโดยอารมณ์ร้อนแรงชั่วแล่นซึ่งไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
- มาตรา 72 ระยะเวลาขณะถูกข่มเหง กับขณะกระทำผิด
- คำพิพากษาฎีกาที่ 863/2502 ผู้ตายไปพบนางเกษภรรยานายสุวรรณจำเลยอยู่บ้านคนเดียว ก็คุกคามเกรี้ยวกราดเป็นทำนองข่มเหงว่าจะฆ่าจะชำเรา ครั้นนางเกษ ร้องเอ็ดอึงขึ้น ผู้ตายเป็นพระภิกษุจึงต้องรีบลงจากเรือนไป แต่พอดี จำเลยทั้งสองกลับมาได้ยินเสียงร้อง และเมื่อทราบเรื่อง เลยออกติดตามทันที จำเลยตามไปห่างเรือน 6-7 เส้น ก็ทันและทำร้ายผู้ตายนอนตายอยู่บนถนน ถือว่าการกระทำของนายสุวรรณจำเลย เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ โดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นแล้ว Ø ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ผู้ถูกข่มเหงไม่จำเป็นจะต้องกระทำลงทันทีหรือ ณ ที่ซึ่งถูกข่มเหง หากได้กระทำผิดต่อผู้ที่ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดกัน ก็ยังถือว่ากระทำโดยบันดาลโทสะได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่14/2502Ø นายสอจำเลยกับนายสุวรรณจำเลยเป็นเพียงเพื่อนสนิทกัน การที่นางเกษภรรยานายสุวรรณจำเลยถูกข่มเหงรังแก ย่อมเป็นการข่มเหงนายสุวรรณผู้สามีด้วย เป็นเหตุผลเกี่ยวกับตัวบุคคล หาใช่ลักษณะคดีไม่ แม้จำเลยทั้งสองจะทำผิดร่วมกัน ก็จะปรับบทลงโทษนายสอจำเลยตาม มาตรา 72 คือ เหตุลดโทษ เพราะบันดาลโทสะด้วยหาได้ไม่ & คำพิพากษาฎีกาที่ 863/2502 นี้ วินิจฉัยองค์ประกอบที่ว่า ...จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น หมายถึง หมายถึง ในขณะที่ทราบถึงเหตุข่มเหงฯ แม้การข่มเหงจะผ่านมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว
- คำพิพากษาฎีกาที่ 286/2509 ผู้ตายกับนายจำปาทะเลาะกัน ภรรยาผู้ตายพูดว่านายจำปา จำเลยจึงร้องห้าม ไม่ให้เข้าข้างสามี แล้วผู้ตายใช้มีดแทงจำเลย จำเลยวิ่งกลับบ้านซึ่งอยู่ห่างจากบ้านผู้ตายประมาณ 1 เส้นเศษ เอาปืนมายิงผู้ตาย ถือได้ว่า จำเลยยิงผู้ตายทันทีทันใดในขณะนั้นโดยบันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1260/2513 คำว่า "ในขณะนั้น" มาตรา 72 มิได้หมายความว่าต้องเป็นขณะเดียวกันกับการข่มเหง และบันดาลโทสะ การกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหง ในระยะเวลาต่อเนื่องอย่างกระชั้นชิด ในขณะที่ยังมีโทสะรุนแรงอยู่ ก็นับว่าเพียงพอแล้ว
- คำพิพากษาฎีกาที่ 3074/2529 ม.พี่จำเลยทราบจากคนอื่นพูดกัน ว่าผู้เสียหายพูดจาดูหมิ่นมารดาของตน เมื่อพบผู้เสียหายยืนอยู่ จึงเข้าไปสอบถาม ทันใดนั้นจำเลยก็เข้ามาชกต่อยผู้เสียหายทันที ดังนี้ ถือได้ว่าจำเลยกระทำไปเพราะบันดาลโทสะ และกระทำต่อผู้เสียหายในขณะที่พูดดูหมิ่นมารดาจำเลย / จำเลยชกผู้เสียหายที่หน้าอกหลายครั้งกล้ามเนื้อที่หน้าอกช้ำรักษาประมาณ 5 วันหาย ผู้เสียหายเพียงแต่เจ็บที่หน้าอกเวลากด ไม่มีรอยฟกช้ำ ดังนี้บาดแผล ยังไม่ถึงขั้นเป็นอันตรายแก่กายตาม ป.อ. ม.295 กระทำของจำเลยเป็นเพียงทำร้ายผู้เสียหายโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตาม ม.391
- & จำเลยเพิ่งทราบเหตุที่ผู้เสียหายดูหมิ่นมารดาจำเลยภายหลัง คำพิพากษาฎีกานี้ วินิจฉัยองค์ประกอบที่ว่า ...จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น หมายถึง ในขณะที่ทราบถึงเหตุข่มเหงฯ แม้การข่มเหงจะผ่านมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว
- คำพิพากษาฎีกาที่ 171/2536 เช้าวันเกิดเหตุมีการลงแรงนวดข้าวที่นาห่างหมู่บ้านประมาณ 2 กิโลเมตร จำเลย ผู้ตายกับชาวบ้านไปช่วยกันหลายคน นวดเสร็จมีการเลี้ยงอาหารกลางวันและสุรา ครั้นถึงเวลาประมาณ 14 นาฬิกาจำเลยกับผู้ตายเกิดมีปากเสียงกัน สาเหตุมาจากผู้ตายสาดสุรารดขาจำเลย เพราะไม่พอใจจำเลยที่ไม่ยอมดื่มสุราที่ผู้ตายรินและคะยั้นคะยอให้ดื่ม จำเลยออกจากนาเข้าไปในหมู่บ้านต่อมาประมาณ 1 ชั่วโมงจึงหวนมาผลักอกและใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย กรณีมิใช่จำเลยยิงผู้ตาย เพราะเกิดโทสะพลุ่งขึ้นเฉพาะหน้า ขณะถูกผู้ตายกระทำการเหยียดหยาม หากแต่เป็นกรณีที่เกิดโทสะและออกจากนาที่เกิดเหตุแล้ว จำเลยจึงเกิดความคิดไปเอาอาวุธปืนเพื่อมายิงทำร้ายผู้ตายในภายหลัง ขณะเดินไปกลับระหว่างนาที่เกิดเหตุกับหมู่บ้านเป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ระยะทางไม่ต่ำกว่า 4 กิโลเมตร จำเลยต้องคิดไตร่ตรองตัดสินใจอย่างหนักในการตกลงใจกระทำความผิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นการฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน (ไม่เข้าเหตุอ้างบันดาลโทสะ เพราะไม่ได้กระทำต่อผู้ข่มเหง ในขณะนั้น)
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1203/2537 ขณะที่จำเลยทราบว่าภรรยาจำเลย ถูกผู้เสียหายปลุกปล้ำกระทำชำเรานั้น จำเลยไม่ได้แสดงอาการโกรธ หรือจะทำร้ายผู้เสียหาย แต่ได้ออกไปหาปลาร่วมกับผู้เสียหาย โดยมีเวลานานถึง 3 ชั่วโมง นับแต่ทราบเหตุดังกล่าวแล้ว จำเลยจึงได้ใช้มีดฟันทำร้ายผู้เสียหาย จึงมิใช่เป็นการกระทำต่อผู้ถูกข่มเหงในขณะนั้น ตาม ป.อ. มาตรา 72
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1756/2539 ขณะจำเลยกับพวกและผู้ตายกับพวกดูภาพยนตร์ในงานศพ ผู้ตายกับพวกใช้ขวดสุราขว้างปาจอภาพยนตร์ และล้มจอ ระหว่างผู้ตายกับพวกเดินกลับบ้านได้ร่วมกันทำร้ายน้องชายจำเลยจนตกลงในคูน้ำ เมื่อมาพบจำเลยกับเด็กเดินสวนทางมา ก็ได้ร่วมกันทำร้ายจำเลยฝ่ายเดียวจนตกลงไปในคูน้ำ จำเลยวิ่งกลับบ้านซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 300 เมตร เอามีดมาต่อสู้กับพวกผู้ตาย แม้ไม่ได้กระทำลงทันทีหรือ ณ ที่ซึ่งถูกข่มเหงแต่อยู่ในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดกัน ถือว่าจำเลยกระทำผิดด้วยเหตุบันดาลโทสะ โดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
- คำพิพากษาฎีกาที่ 997/2541 มาตรา 72 นั้น นอกจากจะถูกข่มเหงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแล้ว ยังต้องกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นด้วย ผู้ตายซึ่งเคยเป็นภริยาจำเลย จะแต่งงานกับคนรักใหม่ จะถือว่าเป็นการข่มเหงจำเลย ซึ่งเคยเป็นสามีมาก่อนอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมยังไม่ได้ จำเลยยังคงติดต่อกับผู้ตายจนถึงวันเกิดเหตุ จำเลยไปบ้านผู้ตายเพื่อคุยด้วย แต่ผู้ตายไม่ยินยอมกลับไล่จำเลยและร้องให้คนรักใหม่ช่วย จำเลยโกรธจนระงับโทสะไม่อยู่ น่าเชื่อว่าเพราะเกิดจากความหึงหวงของจำเลย
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1821/2543 ระยะเวลาห่างจากถูกข่มเหงเพียง ชั่วโมง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จำเลยต้องหลบหนีจากการที่ถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรง ถึงกับต้องไปแอบซ่อนตัวอยู่ในป่าละเมาะ ถือได้ว่ายังอยู่ในช่วงเวลาต่อเนื่องเชื่อมโยงกันอยู่ ป.มาตรา 72
- คำพิพากษาฎีกาที่ 3305/2543 แม้จำเลยจะเข้าใจว่าถูกผู้ตายหลอก จนต้องตกเป็นภริยาของผู้ตาย และตกเป็นเบี้ยล่างของผู้ตายมาตลอด โดยผู้ตายเอาภาพถ่ายเปลือยกายของจำเลย มาพูดขู่ไม่ให้จำเลยเลิกกับผู้ตาย ก็เป็นเพียงความรู้สึกเจ็บแค้นที่มีมาแต่เดิม แต่ในวันเกิดเหตุจำเลยเป็นฝ่ายลงมือก่อเหตุ จะไปเผาบ้าน เตรียมยากำจัดหนู เพื่อจะฆ่าตัวตายพร้อมกับผู้ตาย เมื่อมาที่ห้องนอนผู้ตายพบอาวุธปืน จึงคิดจะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย และฆ่าตัวตายตาม มูลเหตุที่จูงใจให้กระทำผิดเกิดจากความเจ็บแค้นใจซึ่งมีอยู่เดิม กรณีมิใช่บันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น
- มาตรา 72 ผู้มีส่วนก่อเหตุ ทำให้ผู้อื่นข่มเหงตน การข่มเหงไม่เกินกว่าเหตุที่ผู้กระทำผิดก่อไว้มากนัก ไม่อาจอ้างบันดาลโทสะได้ แต่หากเกินกว่าเหตุมากนัก ยังอ้างบันดาลโทสะได้
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1787/2511 จำเลยใช้ถีบฝาเรือนใส่หน้าบิดา บิดาจึงเอามีดดาบจะแทงจำเลย จำเลยตีมีดหลุดจากมือบิดา แล้วหยิบมีดดาบนั้นทำร้ายบิดา ในเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดนั้นเอง ถือว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตาม มาตรา 72 แม้จำเลยจะมิได้ยกเหตุบันดาลโทสะขึ้นต่อสู้ ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ (ภัยที่บิดาจำเลยกระทำ เกินสัดส่วนกับเหตุที่จำเลยกระทำต่อบิดามาก จนถึงขั้นที่คาดหมายไม่ได้ จำเลยจึงอ้างบันดาลโทสะได้)
- คำพิพากษาฎีกาที่ 871/2518 จำเลยก่อเหตุ พูดเป็นการประจานผู้ตาย ว่าลักวัวของพี่จำเลย ผู้ตายจึงตอบโต้ว่า "แต่น้องสาวของมึง กูก็จะเย็ดอยู่" จำเลยโกรธจึงใช้ขวานฟันผู้ตาย 1 ทีตายคาที่ ไม่เป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมตามมาตรา 72
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2073/2527 จำเลยเป็นตำรวจปลุก ท. ซึ่งนอนหลับอยู่บนม้านั่งในตู้รถไฟ โดยเขย่าและใช้ปืนพกจี้ พร้อมกับจับคอเสื้อดึง กับใช้คำพูดที่ไม่สมควร ท. ตื่นขึ้นด่าจำเลยด้วยถ้อยคำหยาบคาย เมื่อจำเลยลงจากรถไฟได้ท้าทายให้ ท. ตามลงไปที่ชานชาลาของสถานีรถไฟ เมื่อ ท.ไม่ยอมลง จำเลยก็ยิง ท.จนถึงแก่ความตาย ดังนี้ เป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ที่ตำรวจพึงปฏิบัติต่อราษฎร นับได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นก่อน และสมัครใจเพื่อเข้าวิวาทกับ ท.โดยตรง และการกระทำไปโดยโมโหจริต ลืมตัว จะอ้างเหตุบันดาลโทสะหาได้ไม่
- คำพิพากษาฎีกาที่ 5371/2542 จำเลยที่ใช้รถยนต์ของผู้อื่นเป็นที่กำบังในการถ่ายปัสสาวะ เป็นความประพฤติที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง จำเลยเป็นผู้ก่อเรื่องไม่งดงามขึ้นก่อน เมื่อจำเลยถูกต่อว่า และไม่ว่าจะถูกตบท้ายทอย โดยบุคคลใดในฝ่ายผู้เสียหายหรือไม่ จำเลยพึงต้องอดทน การที่จำเลยตอบโต้โดยมีการต่อปากต่อคำ นำไปสู่การวิวาทที่รุนแรง แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนในการวิวาท โดยไม่ปรากฏว่าฝ่ายผู้เสียหายมีใครใช้อาวุธปืนเช่นจำเลย จำเลยหามีสิทธิที่จะอ้างว่าการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือการกระทำเพราะบันดาลโทสะได้ไม่
- มาตรา 72 การสมัครใจเข้าวิวาท ไม่อาจอ้างบันดาลโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 550/2517 ผู้ตายเมาสุรามาด่าจำเลยโดยไม่ออกชื่อ แล้วเข้าบ้านไปถือมีดดาบมาท้าทายจำเลยอีก จำเลยถือไม้ไผ่ด้านพลั่วอันหนึ่งเดินไปหาผู้ตายต่างพูดท้าทายกัน ผู้ตายใช้มีดดาบฟันจำเลยก่อน จำเลยหลบทันและล้มลงยังพื้นดินแล้วจำเลยลุกขึ้นใช้ไม้ไผ่ที่ถือมานั้นตีผู้ตายถึงแก่ความตาย การที่จำเลยถือไม้เดินไปหาผู้ตาย เป็นการแสดงความสมัครใจจะต่อสู้กับผู้ตาย จำเลยจะอ้างการป้องกันไม่ได้ แต่การที่ผู้ตายมาด่าจำเลย แล้วกลับไปเอามีดดาบมาท้าทายจำเลยอีก และยังเป็นฝ่ายลงมือฟันจำเลยก่อนด้วย เช่นนี้ เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2802/2526 เหตุเกิดขึ้นเพราะฝ่ายโจทก์ร่วมกับจำเลยทะเลาะวิวาทด่าว่าและท้ายทายกัน ถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ทำไปเพราะบันดาลโทสะ / โจทก์ร่วมถูกฟันที่ต้นแขน ปลายแขน และข้อมือขวา ลึกผ่านชั้นกล้ามเนื้อและตัดประสาทที่ไปเลี้ยงแขน ต้องรักษาตัว 2 เดือนเศษจึงหายเป็นปกติ แต่ทำงานไม่ได้ ลักษณะบาดเจ็บดังกล่าวถึงสาหัสตาม ป.อ.ม.297 (8) แล้ว ไม่จำต้องให้ได้ความว่าผู้บาดเจ็บถึงแก่ต้องพยุงลุกพยุงนั่ง / โจทก์ร่วมวิ่งตาม พ. ไปเห็นจำเลยตบหน้า พ. แล้วเงื้อมีดดาบจะฟัน โจทก์ร่วมจึงผลัก พ. ให้พ้นไป จำเลยก็ฟันถูกโจทก์ร่วม 3 ครั้ง ลักษณะการทำ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1961/2528 การวิวาทหมายถึงการสมัครใจเข้าต่อสู้ทำร้ายกัน คำพูดของจำเลยที่ว่าการย้ายตำรวจต้องมีขั้นตอน ต้องมีคณะกรรมการ อย่าไปเชื่อให้มากนัก เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นในการสนทนาเท่านั้น มิได้มีข้อความใดที่เป็นการท้าทายให้ผู้ตายหรือผู้เสียหายออกมาต่อสู้ทำร้ายกับจำเลยจะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุวิวาทมิได้
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2097/2530 จำเลยสมัครใจแต่แรกที่จะทำร้ายผู้ตาย มิได้ถูกฝ่ายผู้ตายกระทำการเย้ยหยันสบประมาทแต่อย่างใด กรณีจึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะอ้างได้ว่าจำเลยทำร้ายผู้ตาย เนื่องจากถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ไม่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตาม มาตรา 72 ผู้ตายถูกแทงที่ใต้ลิ้นปี่ ลึกเข้าช่องท้อง ผ่านเข้าตัดเส้นเลือดใหญ่ ความลึกของบาดแผลจากผิวหนัง 17 เซนติเมตร แสดงว่าลักษณะของมีดใช้แทงผู้ตายเป็นมีดขนาดใหญ่ ทั้งตั้งใจแทงโดยแรง แม้เป็นการแทงเพียงครั้งเดียว แต่ตำแหน่งบาดแผลคือที่ช่องท้องนั้น เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยเลือกแทงส่วนที่เป็นอวัยวะสำคัญและผู้ตายถึงแก่ความตายในคืนเกิดเหตุนั้นเอง เช่นนี้ถือว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย
- มาตรา 72 เจตนาพิเศษ ที่ได้กระทำไปโดยบันดาลโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1281/2508 ผู้เสียหายได้เคยซื้อของกินจากหญิงซึ่งเคยได้เสียกับจำเลย คืนเกิดเหตุ จำเลยรู้เรื่องจากคำบอกเล่าของหญิงนั้นว่า ผู้เสียหายยังพูดจาเกี้ยวพาราสี เพื่อจะติดพันหญิงนั้นอยู่อีก จำเลยต่อว่าผู้เสียหาย ผู้เสียหายปฏิเสธ จำเลยก็ใช้มีดฟันผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายมิได้กอดปล้ำหญิงนั้น การกระทำของจำเลย มิใช่เป็นเรื่องป้องกันสิทธิของตนเองหรือผู้อื่น ตาม มาตรา 68 และจำเลยจะอ้างว่าได้กระทำผิดโดยบันดาลโทสะตามมาตรา 72 ก็ไม่ได้
- คำพิพากษาฎีกาที่ 708/2535 จำเลยที่ 1 ใช้ไม้ตี ก. เพราะ ก. ดุด่าเรื่องซักผ้าไม่สะอาด และทำร้ายร่างกายจริง แต่หลังจาก ก. ดุด่าและทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 เดินไปหาไม้ที่หลังบ้าน มีช่วงเวลาที่จะคิดได้ว่าสมควรทำร้าย ก. หรือไม่ อีกทั้งข้อเท็จจริงยังฟังได้ว่าหลังจากจำเลยที่ 1 ใช้ไม้ตี ก. เสร็จแล้ว ก. ยังมีลมหายใจอยู่ และส่งเสียงร้อง จำเลยที่ 1 เกรงว่าจะมีคนได้ยินจึงใช้ผ้ารัดคอ ก.โดยแรงจนกระทั่งแน่นิ่งไป ซึ่งเป็นการกระทำที่มีสาเหตุมาจากการที่จำเลยที่ 1 เกรงว่าจะมีคนได้ยินเสียงร้องของ ก. มิใช่เพราะสาเหตุถูกข่มเหงการกระทำดังกล่าวของจำเลย จึงมิใช่การกระทำโดยบันดาลโทสะ ตาม ป.อ. มาตรา 72
- ตอนแรก จำเลยที่ 1 ใช้ไม้ตี เป็นเจตนาทำร้าย คดีนี้ไม่ได้วินิจฉัยโดยตรงว่า ส่วนนี้อ้างบันดาลโทสะได้หรือไม่ เพราะระยะเวลาที่กระทำอาจห่างออกไปมาก จากข้อความ มีช่วงเวลาที่จะคิดได้ว่าสมควรทำร้าย ก. หรือไม่
- ตอนหลัง จำเลยที่ 1 ใช้ผ้ารัดคอ ถือเป็นเจตนาฆ่า มูลเหตุจูงใจส่วนนี้ ไม่ได้กระทำเพราะความโกรธ แต่กระทำเพราะ เกรงว่าจะมีคนได้ยินเสียงร้องของ ก. จึงไม่อาจอ้างบันดาลโทสะได้ เพราะขาดเจตนาพิเศษ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 743/2541 การที่ผู้ตายเอาเบียร์จากโต๊ะของจำเลยที่ 1 ไปดื่มโดยพลการจนผู้ตายและจำเลยที่ 1 ทะเลาะกัน เมื่อ ป. เข้าห้าม ผู้ตายก็เดินไปทางปากซอยส่วนจำเลยที่ 1 กลับไปนั่งดื่มเบียร์ต่อที่โต๊ะ แต่ผู้ตายยังไม่ยอมเลิกแล้วต่อกัน กลับไปท้าทายจำเลยที่ 1 ให้ชกต่อยกันอีก จึงถือได้ว่าจำเลยทั้งสองถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้มีดแทงผู้ตายในเวลาเกี่ยวเนื่องใกล้ชิดกันจึงเป็นการกระทำผิดโดยบันดาลโทสะ ตาม ป.อ. มาตรา 72 / การกระทำผิดโดยบันดาลโทสะต้องพิจารณาว่า ขณะนั้นโทสะของผู้กระทำผิดหมดสิ้นไปแล้วหรือหาไม่ โดยพิจารณาจากพฤติการณ์อื่นประกอบ การที่จำเลยทั้งสองบันดาลโทสะจึงวิ่งไล่แทงผู้ตาย และจำเลยที่ 2 แทงผู้ตายได้ในที่สุด เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน ย่อมแสดงว่าขณะผู้ตายหนีต่อไปไม่ได้ และใช้โต๊ะขึ้นกันนั้น โทสะของจำเลยทั้งสองยังไม่หมดสิ้นไป
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2477/2542 จำเลยเดินเข้าไปหาโจทก์ร่วม โดยถือมีดไปด้วย แล้วใช้มีดเป็นอาวุธแทงและฟันทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วม น่าจะเป็นเพราะจำเลยโกรธ ที่โจทก์ร่วมพาน้องสาวจำเลยไปนอนค้างที่อื่น และขอเลื่อนการแต่งงานออกไป จากวันที่กำหนดไว้เดิม มากกว่าเหตุอื่น การกระทำของจำเลย จึงมิใช่การกระทำโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 72 (จำเลยฎีกาว่า โจทก์ร่วมพูดเหยียดหยาม น้องสาวจำเลย แต่ในคำให้การชั้นสอบสวนไม่มีข้อความที่โจทก์ร่วมพูดจาเหยียดหยามจำเลย)
- มาตรา 72 เปรียบเทียบบันดาลโทสะ กับป้องกัน
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1082/2511 การกระทำโดยป้องกัน และการกระทำโดยบันดาลโทสะ องค์ประกอบต่างกัน เมื่อกระทำโดยบันดาลโทสะ ก็ไม่ใช่เรื่องป้องกัน หรือกลับในทำนองเดียวกัน
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1480/2520 จำเลยเถียงกับผู้เสียหายเรื่องผู้เสียหายสงสัยว่า จำเลยเป็นชู้กับภริยาผู้เสียหาย จำเลยยิงผู้เสียหายด้วยปืนลูกซองสั้น 1 นัดในระยะ 1 วาเป็นแผลเล็กน้อยรักษาในโรงพยาบาล 2 วันก็กลับบ้านได้ แสดงว่าปืนไม่อาจทำให้ตายได้ เป็นความผิดตาม ป.อ.ม.288, 81 ไม่เป็นบันดาลโทสะหรือป้องกัน (หมายเหตุ อ จิตติ ที่ว่า ม 72 เป็น ม 68 ไม่ได้ ไม่ใช่บทบัญญัติของกฎหมาย เป็นข้อคิดเห็นทางสภาพข้อเท็จจริง ปกติคงเป็นทั้งสองอย่างไม่ได้ แต่ไม่น่าจะเด็ดขาด อาจมีเหตุจูงใจ ทั้งกลัวทั้งโกรธ ในขณะเดียวกันได้)
- คำพิพากษาฎีกาที่ 2298/2531 จำเลยที่ 1 ที่ 2 เสพสุราอยู่ในลักษณะมึนเมา และอาจจะมีเหตุกินใจกันมาก่อน จำเลยที่ 1 ได้ใช้อาวุธปืนยิงจำเลยที่ 2 ได้รับบาดเจ็บ จำเลยที่ 2 จึงยิงจำเลยที่ 1 เป็นการแก้แค้น การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนตามกฎหมาย แต่การที่จำเลยที่ 2 ถูกจำเลยที่ 1 ยิงก่อนถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุ อันไม่เป็นธรรม การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
- คำพิพากษาฎีกาที่ 0637/2537 การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่อาจเป็นทั้งการกระทำโดยบันดาลโทสะ และป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายในขณะเดียวกันได้ / ผู้ตายเข้าไปหาจำเลย แล้วเตะสำรับกับข้าวที่จำเลยกับภรรยานั่งรับประทานอยู่ แต่จำเลยก็หาได้ตอบโต้ ภยันตรายที่ผู้ตายก่ออย่างใดไม่ ต่อเมื่อผู้ตายร้องเรียกจำเลยให้เข้ามาต่อสู้ พร้อมกับด่าจำเลย จำเลยจึงเข้ามากอดปล้ำต่อสู้กับผู้ตาย แต่สู้ไม่ได้เพราะตัวเล็กกว่า จำเลยจึงวิ่งไปหยิบมีดแทงผู้ตาย การกระทำของจำเลย เป็นการกระทำ เมื่อภยันตรายดังกล่าวที่ผู้ตายก่อได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่การกระทำของผู้ตาย ก็ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายไปในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิดกับที่จำเลยยังมีโทสะอยู่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ หาใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่
- เปรียบเทียบบันดาลโทสะ กับป้องกัน กรณีการป้องกันภัยให้แก่ผู้อื่น
- ปกรณ์ การป้องกันภัยให้แก่ผู้อื่นได้นั้น ตัวผู้อื่นนั้นจะต้องไม่มีส่วนผิด หรือตัวผู้อื่นนั้นเอง จะต้องมีสิทธิป้องกันตนเองได้ หากตัวผู้อื่นนั้นมีส่วนผิด ไม่อาจอ้างสิทธิป้องกันตนเองได้แล้ว ผู้กระทำก็ไม่อาจอ้างป้องกันให้แก่ผู้อื่นนั้นได้ กรณีจึงต้องพิจารณาถึงการกระทำโดยจำเป็น หรือบันดาลโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 5698/2537 จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาของจำเลยที่ 2 ได้สมัครใจวิวาทชกต่อยกับผู้เสียหาย จำเลยที่ 2 เข้าห้ามปราม มิให้ผู้เสียหายทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 ผู้เสียหายกลับชกต่อย และเตะจำเลยที่ 2 จนเซไป แม้ผู้เสียหายจะหวนกลับไปทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 1 อีกก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในขณะที่วิวาทกัน จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิที่จะใช้เก้าอี้ตีผู้เสียหาย เพื่อป้องกันจำเลยที่ 1 ได้ ทั้งไม่อาจอ้างได้ว่าจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองด้วย เพราะภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่เกิดแก่จำเลยที่ 2 เองคือการถูกผู้เสียหายชกต่อย และเตะจนเซไปได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้กระทำโดยบันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมตาม ป.อ. มาตรา 72
- การกระทำโดยพลาด มาจากเหตุบันดาลโทสะ
- คำพิพากษาฎีกาที่ 1082/2509 จำเลยถูกข่มเหงแล้ว ได้ยิงคนที่ข่มเหงในขณะนั้น แต่เนื่องจากคนที่ข่มเหง ต่างวิ่งหนีไป กระสุนปืนพลาดไปถูกผู้เสียหายเข้า จำเลยก็ต้องมีความผิด ตาม มาตรา 60 แต่การกระทำของจำเลยนั้นเป็นผลสืบเนื่องมาจากจำเลยถูกข่มเหงโดยไม่เป็นธรรม และกระทำลงไปโดยบันดาลโทสะ จำเลยจึงมีความผิดตาม มาตรา288, 80 ประกอบด้วยมาตรา 72
- ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า
- (ขส เน 2541/ 1) พ่อกับลูกนั่งทานข้าว พ่อวิวาทกับนายเขียว ลูกเข้าห้าม นายเขียวชกลูก และชกพ่อ ลูกใช้เก้าอี้ฝาดนายเขียวสาหัส ลูกรับผิดอย่างไร พ่อสมัครใจวิวาท การที่ลูกเข้าห้าม แต่ถูกชก และนายเขียวชกพ่ออีก "เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องขณะวิวาทลูกไม่มีสิทธิใช้เก้าอี้ตีนายเขียวเพื่อป้องกันพ่อ ตาม ม 68 / ขณะเขียวชกพ่อ ภัยที่เกิดกับลูก "ผ่านพ้นไปแล้วไม่เป็นการป้องกัน ลูกเข้าห้ามแต่ถูกชก ถือว่าถูกข่มเหง ต้องรับผิด ม 297 + 72 ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ ฎ 5698/2537
- (ขส พ 2515/ 6) แดงข่มเหงดำ ดำบันดาลโทสะแทงแดง พลาดไปถูกเขียว เขียวโกรธวิ่งไปเอาปืนที่บ้านมายิงดำ แต่ลืมบรรจุกระสุนปืนไว้ ดำผิด ม 295,60 อ้างบันดาลโทสะได้ ม 72 ฎ 1682/2509 / เขียวผิด ม 288,81 อ้างบันดาลโทสะได้ ม 72 ฎ 247/2478

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

slide